ReadyPlanet.com


รวบรวมรายชื่อพระอริยะสงฆ์ยุคปัจจุบัน
avatar
วุฒิชัย


จากการที่ได้ไปกราบสักการะพระธาตุอรหันต์ของเมืองไทย ก็รู้สึกเสียดายที่ยามท่านยังมีชีวิตอยู่ เราไม่มีโอกาสไปกราบท่านหรือทำบุญกับท่าน พอท่านละสังขาร อัฐิท่านเป็นพระธาตุ รู้สึกเสียดายยิ่งนัก ดังนั้นเรามาช่วยกันรวบรวมรายชื่อในกระทู้นี้ว่าพระรูปใดที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นพระธาตุได้ในอนาคต (แม้ว่าเราจะไม่สามารถชี้ชัดได้ 100%)

กรุณาระบุนามพร้อมฉายา  ชื่อวัด    และจังหวัด



ผู้ตั้งกระทู้ วุฒิชัย โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2008-07-21 12:27:19 IP : 57.72.14.50



ความคิดเห็นที่ 51 (3196976)
avatar
ภัทรพล อุดมศักดิ์สะนะเขต

หลวงปู่โส วัดป่าคำแคนเหนือ จังหวัดขอแก่น น่าไปกราบไหว้ ท่านอายุมาแล้ว

ผู้แสดงความคิดเห็น ภัทรพล อุดมศักดิ์สะนะเขต (pukaofai-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2010-02-26 16:00:50 IP : 203.185.150.4


ความคิดเห็นที่ 52 (3204056)
avatar
สายลมแสงแดด

  ได้กราบหลวงปู่พิศดูที่จันแล้วรู้สึกดีมาก ๆ พระอรหันร์แท้จริงเลย

ผู้แสดงความคิดเห็น สายลมแสงแดด วันที่ตอบ 2010-03-10 22:23:59 IP : 111.84.112.126


ความคิดเห็นที่ 53 (3209216)
avatar
รมิดา

ได้ยินว่ายังมีพระอริยสงฆ์อยู่อีกเยอะ ดีใจมากค่ะ ขออนุโมทนาบุญด้วยนะคะ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น รมิดา วันที่ตอบ 2010-04-04 22:06:05 IP : 112.142.99.27


ความคิดเห็นที่ 54 (3212567)
avatar
คนขอนแก่น

หลวงปู่มหาโส  กัสโป  ขอนแก่น ครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น คนขอนแก่น (yuttakan23-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2010-04-22 14:52:01 IP : 118.175.129.193


ความคิดเห็นที่ 55 (3219108)
avatar
roen

หลวงปู่เณรคำ  ฉัตติโก  วัดป่าขันติธรรม ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ เป็นพระที่บรรลุธรรมตั้งแต่ท่านยังเป็นเณร

ผู้แสดงความคิดเห็น roen วันที่ตอบ 2010-05-20 14:04:05 IP : 110.49.205.65


ความคิดเห็นที่ 56 (3220870)
avatar
อมตะธรรม

หลวงปู่สาวกโลกอุดร ครับ  ผู้สั่งสอนธรรมตามแนวพระพุทธองค์ครับ

ปฏิบัติธรรมพื้นฐานทุกคนทำได้ แต่บรรลุธรรมดับกิเลสปัจจุบันคือหลวงปู่สาวกโลกอุดรครับ

พิสูจน์จากการอธิบายธรรมเรื่องอื่นพระทุกองค์แน่แต่ไม่เห็นกล้าอธิบายธรรมเลย ผมยกพระอรหันต์องค์ปัจจุบันคือหลวงปู่สาวกโลกอุดร

เพราะย้อนอดีตนับดูแล้วพระ 3 แสนรูป ไม่เห็นท่านใดกล้าบันลือสีหนาทกล่าวธรรมเลย ทุกวันนี้กล่าวธรรมเบื้องต้น เดารู้ล่วงหน้าสร้างธรรมบิดเบือน จึงวุ่นวายอยู่อย่างนี้ ประเทศไทย

หมอดูก็เยอะ รู้ชีวิตตนเองแต่ดับกิเลสตนไม่ได้  ก็คนไม่ใช่ผู้วิเศษ

ของขลังก็ดี เลือกปกป้องไม่ได้ คนดีใช้คนเลวใช้ตายหมด

เพราะธรรมย่ิอมรักษาผู้ประพฤติธรรม         ภัยต่างๆที่นักเดาว่าเป็นอย่าโน้นอย่างนี้ กำหนดวันก็ผิดเดาแค่ความเห็นตรงกัน สิ้นโลก 2012 บ้า

ไม่จริง แค่ผิดอากาศ ผิดแปลกไปที่คนไม่เคยพบจึงกลัว ว่าเป็นนั้นเป็นนี้ แต่ไม่ประพฤติธรรม จึงรู้จักแต่รักษาชีวิตตนเอง แต่ไม่รู้จักหาตัวกิเลสดับทุกข์  หลงๆๆๆๆๆๆๆๆอวิชชาจาก นักเดาวิชาการ  ที่มีกิเลส ไม่ปฏิเสธเลยหากคนต้องเรียนรู้ แต่ต้องเรียนรู้อย่างแจ่มแจ้งแทงตลอดไม่ใช่อะไรก็เชื่อหมด ทำดีเล็กน้อยก็ใช่  แต่ธรรมตามแนวพระพุทธองค์ไม่ฟัง น่าสงสารจัง  

ฝากถึงทุกคน ที่กำลังหลงอวิชชา

ผู้แสดงความคิดเห็น อมตะธรรม วันที่ตอบ 2010-05-28 21:51:57 IP : 111.84.34.48


ความคิดเห็นที่ 57 (3226114)
avatar
ธนภูมิ สุวัณณะศรี

ขอให้พระอริยะสงฆ์เจ้าอยู่คู่กับศาสนาพุทธไปนานๆ ขออย่าได้ขาดเลยเป็นแนวทางให้สรรพสัตว์ทุขสิ่งและทุกท่านได้พ้นทุข ขอกราบเบื้องพระบาททุกพระองค์ สาธุ ๆ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธนภูมิ สุวัณณะศรี (n-arai-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2010-06-20 21:07:47 IP : 125.25.222.147


ความคิดเห็นที่ 58 (3227286)
avatar
ผู้ศรัทธา

หลวงปู่สรวง    ( แถวบ้านผมเรียก ออกเสียงว่า ทรวง ตามสำเนียงถิ่น )

วัดไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ผู้ศรัทธา วันที่ตอบ 2010-06-26 01:52:46 IP : 203.188.44.90


ความคิดเห็นที่ 59 (3228013)
avatar
กิเลสเกิดจากความคิดนั่นเอง

ขอแสดงความคิดเห็น ตรงกับ ( ความคิดเห็นที่ 58 ) ครับ

ตอนนี้มีเวปของหลวงปู่สาวกโลกอุดร แล้วนะครับ

เพียงท่านพิมพ์คำว่า " หลวงปู่สาวกโลกอุดร " ลงใน Google ก็สามารถเข้าเวปได้เลยครับ

มีธรรมะดีๆ ด้วยนะครับ เทป 300 กว่าม้วนครับ

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น กิเลสเกิดจากความคิดนั่นเอง (vorakij_666-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2010-06-29 19:05:56 IP : 125.24.112.177


ความคิดเห็นที่ 60 (3229118)
avatar
ไม่ประสงค์จะออกนาม

สายหลวงปู่มั่นเกือบทุกองค์ นั่นแหละเพชรน้ำหนึ่ง ไม่เชื่อลองไปค้นหาดูในgoogleว่าสายหลวงปู่มั่นหรือพระสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เพราะหลวงปู่มั่นท่านเป็นพระอรหันต์1000%ศิษย์ของท่านจึงเป็นอรหันต์เพราะได้อาจารย์ที่ดี คือพ่อแม่หลวงปู่ครูจารย์มั่น สังเกตจากพระธาตุ ถึงแม้ว่าตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ก็ยังเป็นพระธาตุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ไม่ประสงค์จะออกนาม วันที่ตอบ 2010-07-05 16:41:40 IP : 192.168.200.204


ความคิดเห็นที่ 61 (3229574)
avatar
Poomipat24@hotmail.com

หลวงปู่ชอบ  รวิวรรโณภิกขุ  วัดบ้านนาทา  ต.หนองกอมเกาะ  อ.เมือง  จ.หนองคาย  ท่านเป็นพระสายกรรมฐานอีกรูปหนึ่ง  ที่มีเมตตาจิต

ที่สมกับเป็นพระอริยสงฆ์  ที่ควรสักการะเป็นอย่างยิ่ง  แต่ท่านได้มรณภาพไปแล้ว  แต่หลักธรรมคำสั่งสอนยังอยู่ตลอดกาล

....ลูกศิษย์ที่ระลึกถึง

ผู้แสดงความคิดเห็น Poomipat24@hotmail.com (Poomipat24-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2010-07-07 15:21:18 IP : 118.173.176.169


ความคิดเห็นที่ 62 (3232372)
avatar
สุภาวดี

ครูบากฤษดา  สุเมโธ แห่งวัดสันพระเจ้าแดง  ลายเส้นฝ่าเท้าท่านเป็นรูปหอยสังข์(มหาสังข์)ธงชัยดอกบัวตูม ค่ะ เป็นเพราะอะไรใครตอบได้ช่วยตอบทีค่ะ เป็นจริงๆค่ะ อ้อ และเจดีย์มีธงชัยปักตรงยอดเจดีย์ด้วยค่ะ เพื่อนๆเห็นมากับตา ท่านก็เมตตาให้ดู ปกติท่านไม่อนุญาติให้ใครดูเลยค่ะ ขอท่านผู้รู้ทั้งหลายช่วยวิเคราะห์บอกทีจะเป็นพระคุณยิ่งค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น สุภาวดี วันที่ตอบ 2010-07-20 16:45:09 IP : 113.53.21.45


ความคิดเห็นที่ 63 (3235918)
avatar
แดนอุทัย

ลักษณะเช่นนี้ เป็นลายฝ่าเท้าของผู้มีบุญมาเดิดครับ  ขอกราบงามๆครับสาธุ  ครูบาเจ้ากฤษดา   สุเมโธ แห่งวัดสันพระเจ้าแดง  ผมเคยอ่านประวัติท่านในเวปมาแล้วครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น แดนอุทัย วันที่ตอบ 2010-08-06 17:01:54 IP : 113.53.128.98


ความคิดเห็นที่ 64 (3238141)
avatar
ธัมมารักษ

จริงๆแล้วเห็นว่า ที่ฝ่าเท้าของท่านครูบากฤษดา น่าจะมีปรากฏสัญลักษ์มงคลมากกว่านั้นครับ เห็นเพื่อนว่ามีรูป จักร หรือธรรมจักรด้วยนะครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธัมมารักษ วันที่ตอบ 2010-08-15 03:43:45 IP : 110.49.23.179


ความคิดเห็นที่ 65 (3238142)
avatar
ธัมมารักษ

สัญลักษ์ที่ว่านี้เป็นสิ่งมงคลที่เกิดมีในเฉพาะผู้ที่มีบารมีสูง และเป็นผู้บำเพ็ญธรรมที่ปราถนาพระพุทธภูมิมาอย่างยาวนาน  เพราะสัญลักษ์ที่ว่านี้มีปรากฏอยู่ในพระพุทธบาทลายลักษ์ ซ้าย-ขวา ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งของพระพุธองค์นั้นจะมีทั้งหมด ครบ108 ประการด้วยกันครับ แต่สำหรับคนเรานั้นหากมีสัญลักษ์เพียงประการเดียว ก็ถือว่าเป็นยอดคนแล้วละครับ แต่ท่านครูบากฤษดานั้นกลับมีสัญลักษ์ถึงอย่างน้อย 5ประการด้วยกัน นับว่าหาได้ยากแสนยากนักครับ สาธุ สาธุ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธัมมารักษ วันที่ตอบ 2010-08-15 03:53:44 IP : 110.49.23.179


ความคิดเห็นที่ 66 (3239086)
avatar
ข้าวต้มมัด

ข้าพเจ้าคิดว่า พระอาจารย์เกษม สำนักสงฆ์ป่าสามแยก อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ มิน่าเป็นพระอริยเจ้า เพราะองค์คุณแห่งพระโสดาบันยังไม่ครบ จากการปรามาสสมมติบัญญัติ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

และ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท ข้าพเจ้าได้รู้มาว่า ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น ข้าวต้มมัด วันที่ตอบ 2010-08-19 08:48:37 IP : 58.8.133.87


ความคิดเห็นที่ 67 (3239302)
avatar
ปริวรรต อุชุภาพ

ผมไปกราบถวายน้ำผลใม้ น้ำปานะ มาหลายรูปแล้วครับในปี2553 นี้ ตั้งแต่หลวงปู่จันทรา พิจิตร หลวงปู่บุญฤทธิ์ นนทบุรี(เมตตาสูงมาก) หลวงปู่เณรคำ(ทั้งสองรูป ศรีษะเกษ นครพนมไปถวายน้ำผึ้ง)อีกทั้งยังไปกราบหลวงปู่ละมัย เพชรบรูณ์ และในวันที่21 สค53   (7โมงเช้า)ก็จะไปทำบุญทีบ้านลานเสียงธรรมลาดพร้าว71 หลวงปู่ต้นบุญ กับหลวงปู่เณรคำ(ศรีษะเกษ) มาเชิญชวนกันไปทำบุญตักบาตรพระ20 รูปครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น ปริวรรต อุชุภาพ (prariwats-at-thaimail-dot-com)วันที่ตอบ 2010-08-20 09:25:14 IP : 111.84.117.127


ความคิดเห็นที่ 68 (3239452)
avatar
ธัมมารักษ

ขอร่วมอนุโมทนาบุญด้วยคนครับ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น ธัมมารักษ วันที่ตอบ 2010-08-21 05:33:10 IP : 119.31.6.128


ความคิดเห็นที่ 69 (3244893)
avatar
น้องบอย

สาธุ แปลกๆมากๆครับ ที่ลายฝ่าเท้าของครูบากฤษดา  สุเมโธ มีสิ่งมงคลปรากฏอยู่ สาธุ คณะพวกกระผมต้องขึ้นไปกราบแล้วครับ คุณที่ใช้นามแผงว่า  ธัมมารักษ์ มีความรู้ไม่น้อยเลยน่ะครับ สาธุ กระผมอยากรู้เรื่องราวต่างๆเกียวกับครูบากฤษดา  สุเมโธ อีกมากๆครับ สาธุ

ผู้แสดงความคิดเห็น น้องบอย วันที่ตอบ 2010-09-03 20:08:28 IP : 113.53.126.244


ความคิดเห็นที่ 70 (3245175)
avatar
ธัมมารักษ

ออ..ความรู้ผมก็แค่งูๆปลาๆละครับ ไปฟังจากลูกศิษย์ของท่านครูบา แล้วก็เอามาเล่าต่อน่ะครับ หากว่าจะไปกราบท่านครูบาละก็อนุโมทนาบูญด้วยครับ ข้อมูลของท่านครูบา เพิ่มเติมตามนี้เลยครับ...

http://www.khubakrissda.com/

ผู้แสดงความคิดเห็น ธัมมารักษ วันที่ตอบ 2010-09-05 17:37:53 IP : 110.49.31.23


ความคิดเห็นที่ 71 (3249122)
avatar
น้องบอย

 

สาธุ ขอบพระคุณพี่ธัมมารักษ์มากๆครับผม  กระผมขึ้นไปทำบุญกับครูบาท่านมาแล้วครับ บอกได้คำเดียวครับ  สุดยอด สุดยอด สุดยอด ครับ วัดท่านเย็นสบายสงบอยู่ครับ ครูบาท่านอยู่แบบเรียบๆง่ายๆครับ แต่ดูท่านมีผิวพรรณวรรณะผ่องงามครับ แววตาดูมีอำนาจมากๆครับ สาธุ 

ผู้แสดงความคิดเห็น น้องบอย วันที่ตอบ 2010-09-18 21:18:08 IP : 113.53.24.193


ความคิดเห็นที่ 72 (3253942)
avatar
qq

วัดศาลาปูน อยุธยา

ผู้แสดงความคิดเห็น qq (qq-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2010-10-03 12:21:05 IP : 61.7.136.156


ความคิดเห็นที่ 73 (3259331)
avatar
วิโรจน์

หลวงพ่อสนอง  กตปุญโญ  วัดสังฆทาน ต.บางไผ่  อ.เมือง  จ.นนทบุรี...กราบท่านได้สนิทใจครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น วิโรจน์ (wirote-dot-2003-at-gmail-dot-com)วันที่ตอบ 2010-10-24 08:24:45 IP : 223.206.2.127


ความคิดเห็นที่ 74 (3262513)
avatar
ณัฐสิทธิ์ สมีเพ็ชร

หลวงปู่พิม สิริพิมโพ วัดป่าเวฬุวัน บ้านท่าเริงรม ต.ทุ่งพระ อ.คอนสาน จ.ชัยภูมิ

สายกรรมฐานวาระจิตของหลวงปู่มั่น ที่วัดนั้นจะมีรอยพระบาทสองรอย ผุดขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์

หลวงปู่นั้นสร้างวัดได้เร็วมาก ท่านท้าวมหาพรหมทั้งหลายได้นิมนต์ให้ท่านอยู่

วัดนี้เป็นพุทธภูมิเก่าทั้งเหล่า เทวดา ทวยเทพและท้าวมหาพรหม ปกปักรักษา

ท่านทั้งโดยตัวของข้าพเจ้าเองนั้นเชื่อว่า ท่านคือพระอรหันต์ของแท้โดยชอบ เพราะอะไร เพราะตัวข้าพเจ้าได้อุปฐากนานเกือบเดือนจึงได้รู้ อ่อ! น่าอัศจรรย์จริงๆเราอยู่ใกล้พระอรหันต์แค่คืบ วันนั้นทั้งวันพอรู้ว่าท่านคือพระอรหันต์ ข้าพเจ้าดีใจ มีปิติ ทั้งวันทั้งคืน 

แต่มีอีกอย่างหนึ่งที่ข้าพพูดแล้วอยากจะร้องไห้ อีกไม่นานหลวงปู่ก็จะละสังขาร คือวันที่ 9 เืดือนกันยายน 2557 เวลา 21.00 น. ร่างกายหลวงปู่ได้บริจาคให้โรงพยาบาลศรีนครินทร์ขอนแก่น

หากท่านที่ได้อ่านแล้วมีจิตศรัทธาที่จะได้พบเห็น จะไปปฏิบัติธรรม ก็เชิญที่วัดตามที่อยู่นะครับ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ณัฐสิทธิ์ สมีเพ็ชร (N_U_T_T_A_S_I_T-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2010-11-01 13:20:45 IP : 222.123.224.156


ความคิดเห็นที่ 75 (3264039)
avatar
หยุด กระจ่าง ว่าง สบาย

พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนั้นมีมากเหลือคณานับ ที่เรารู้ได้ถือว่าส่วนน้อย

ที่มีอยู่มากกว่าเม็ดทรายในทะเล ท้ายที่สุดแล้วคือหยุด กับ ว่างเพราะสิ่งต่างๆล้วนสมมติ ทั้งชั่วและ ดี อับปรีย์พอกัน

ผู้แสดงความคิดเห็น หยุด กระจ่าง ว่าง สบาย วันที่ตอบ 2010-11-09 19:38:33 IP : 202.28.27.3


ความคิดเห็นที่ 76 (3264040)
avatar
สติปฐาน 4

พระธรรมสิงหบุราจารย์ หลวงพ่อจรัญ

วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี

ผู้แสดงความคิดเห็น สติปฐาน 4 วันที่ตอบ 2010-11-09 19:42:49 IP : 202.28.27.3


ความคิดเห็นที่ 77 (3264042)
avatar
อริยะสัจ

หลวงพ่อ วัดหนองหลุบ จ.ขอนแก่น

กิตติสาโรภิกขุ

ผู้แสดงความคิดเห็น อริยะสัจ วันที่ตอบ 2010-11-09 19:45:18 IP : 202.28.27.3


ความคิดเห็นที่ 78 (3265051)
avatar
wai

หลวงปู่จาม มหาปุญโญ อายุ 101 ปี (พรรษา72) วัดป่าวิเวกวัฒนาราม อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร

ผู้แสดงความคิดเห็น wai วันที่ตอบ 2010-11-15 22:05:49 IP : 182.232.64.188


ความคิดเห็นที่ 79 (3265066)
avatar
เหลากบ

 

หลวงปู่สนั่น  วัดธารเกษม จ.สระบุรี  ลูกศิษย์ใกล้ชิด อุปัฏฐาก ติดตาม หลวงปู่ลี วัดอโศการาม ตั้งแต่ สมัยท่านอยู่วัดป่าคลองกุ้ง และหลวงปู่สนั่นองค์นี้ หลวงปู่พิศดูท่านรับรองแล้วว่า..ท่านเป็นพระแท้ทั้งองค์  และหลวงปู่สนั่นท่านจะไปมาระหว่างวัดธารเกษม กับวัดป่าคลองกุ้ง จ.จันทบุรีเสมอ

 

 

 

.

ผู้แสดงความคิดเห็น เหลากบ วันที่ตอบ 2010-11-16 01:15:23 IP : 182.232.46.208


ความคิดเห็นที่ 80 (3265067)
avatar
เหลากบ

.

 

 

หลวงปู่พิศดู ธัมมะจารี ถ่ายรูปคู่กับหลวงปู่สนั่น 

สองพระอริยะ ศิษย์เอกอาวุโสใน หลวงปู่ลี ธัมมะโร ยอดขุนพลแห่งกองทัพธรรม ทายาทธรรมปฏิบัติหลวงปู่มั่น ภูริทัตตะเถระ

 

 

 

.

ผู้แสดงความคิดเห็น เหลากบ วันที่ตอบ 2010-11-16 01:26:40 IP : 182.232.46.208


ความคิดเห็นที่ 81 (3266246)
avatar
treebhuwan

หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทธยาน  อ.เมือง ขอนแก่น

หลวงพ่อผิน สุมโน  วัดโตนด อ.หลังสวน จังหวัดชุมพร  หลวงปู่ท่านอยู่รูปเดียวในวัด มีพระอุปัฏฐากด้วย

บริเวณวัดจะวังเวงวิเวกมาก อายุท่านปีนี้เท่ากับสมเด็จพระสังฆราช  ท่านเคยไปธุดงค์กับสมเด็จพระสังฆราชสมัยหนุ่มๆ

เป็นวัดในความดูแลของ วัดราชผาติการาม  ตอนนั้นผมบวชแล้วไปพักที่วัดนี้ครับ ทำให้ผมอิ่มเอมใจมาก ถูกท่านตำหนิเรื่องความไม่สำรวมในการถือบวชด้วย นับว่าเป็นความเมตตามาก

ผมกราบท่านด้วยความสนิทใจเลย

ผู้แสดงความคิดเห็น treebhuwan (treebhuwan-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2010-11-23 17:54:24 IP : 202.28.45.25


ความคิดเห็นที่ 82 (3266526)
avatar
tamsak1987@hotmail.com

ญาท่านสวน ฉนทโร อริยสงฆ์ผู้ค้ำเมืองอุบล

ผู้แสดงความคิดเห็น tamsak1987@hotmail.com วันที่ตอบ 2010-11-25 10:18:17 IP : 180.180.167.174


ความคิดเห็นที่ 83 (3267909)
avatar
bkkrr

พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป วัดอรัญวิเวก อ. แม่แตง จ. เชียงใหม่

ไปกราบมาแล้วค่ะ ท่านใจดี และ มีเมตตามากมาก

ผู้แสดงความคิดเห็น bkkrr วันที่ตอบ 2010-12-03 18:12:32 IP : 115.87.203.112


ความคิดเห็นที่ 84 (3271410)
avatar
ศานิต สุวัณณะศรี

เนื้อหนังมังสาในตัวเรา ล้วนแล้วมาจากสัตว์ต่างๆที่เราได้ทานไป เขารักชีวิตทุกตัวตนเราก็เช่นกัน สัตว์เหล่านี้แหละคือเจ้ากรรมนายเวร อย่าลืมตรวจน้ำให้นะครับ วัวควายเขากินหญ้าเขาไม่กินสิ่งมีชีวิตเลย สัตว์ที่มีอายุยืนๆ ห่าง ได้เป็นดีครับ เช่นเต่า ตะพาบ กบเขียดถึงเขาจะกินแมลงแต่เขาถือศิลหกเดือนแนะไม่กินอะไรเลย ถ้าเราไม่กินสัตว์เหล่านี้ ถ้าทำได้เราจะไม่เวียนไปเกิดเป็นสัตว์ต่างๆได้ครับ ถ้าทำไม่ได้ก็ทานเจก็ได้ครับปีละครั้งก็ยังดี ร่างกายเราจะสะอาดขึ้นครับ ถ้าทุกวันพระได้เทวดารักษาแน่นอนครับ คุณต้องแผ่เมตตาแล้วถวายกุศลด้วยนะครับ เล่าสู่กันอ่านครับอย่าถือสา ขอให้ทุกท่านที่อ่านจงไปถึงซึ่งพระนิพพาน สาธุๆ

ผู้แสดงความคิดเห็น ศานิต สุวัณณะศรี (n-arai-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2010-12-24 23:14:03 IP : 125.25.221.202


ความคิดเห็นที่ 85 (3271899)
avatar
แนน
ดีใจจังที่เราได้ทันเรียนรู้คำสอนและทันที่ได้กราบและปฎิบัติตามคำสอนของหลวงปู่และหลวงพ่อขอร่วมอนุโมทนาบุญกุศลของท่านทั้งหลายด้วยเจ้าค่ะสาธุสาธุสาธุ
ผู้แสดงความคิดเห็น แนน วันที่ตอบ 2010-12-28 09:29:50 IP : 206.53.152.15


ความคิดเห็นที่ 86 (3271900)
avatar
แนน
ดีใจจังที่เราได้ทันเรียนรู้คำสอนและทันที่ได้กราบและปฎิบัติตามคำสอนของหลวงปู่และหลวงพ่อขอร่วมอนุโมทนาบุญกุศลของท่านทั้งหลายด้วยเจ้าค่ะสาธุสาธุสาธุ
ผู้แสดงความคิดเห็น แนน (nanprang-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2010-12-28 09:31:40 IP : 206.53.152.15


ความคิดเห็นที่ 87 (3275616)
avatar
Rachel

หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร

หรือพระธรรมมงคลญาน วัดธรรมมงคล ท่านเผยแพร่การทำสมาธิในประเทศไทย และในต่างประเทศเช่น แคนาดา และอเมริกา มีจุดมุ่งหมายที่จะสร้างสันติภาพให้แก่โลก ท่านเป็นพระสายหลวงปู่มั่นค่ะ พระอาจารย์ที่วัดบอกว่าหลวงพ่อสอนว่ามาเป็นพระก็ต้องมีหน้าที่เผยแพร่ศาสนาช่วยผู้คน ไม่ใช่รับแต่ของจากญาติโยม หลักสูตรสมาธิของหลวงพ่อก็สุดยอดมากๆค่ะ เรียนฟรี มีสถานที่ให้อย่างดี ใครก็มาเรียนได้ สอนอย่างเป็นระบบ มีหลักการ เ็ป็นวิทยาศาสตร์ เป็นขั้นตอน ไม่โอ้อวด ไม่ต้องการให้ผู้คนหลงงมงายกับสิ่งต่างๆ จะได้ไม่โดนใครหลอกเอาได้ ไม่เน้นขายของด้วยค่ะ รักหลวงพ่อมากๆค่ะ ท่านอายุ91 แล้ว แต่แข็งแรงมากค่ะเดินได้ไม่ต้องใช้ไม้เท้าเลย ความจำดีมาก ไม่เหมือนอายุ91เลย ท่านมีอารมณ์ขัน ใจดี ทุกปีก็จะพานักศึกษาครูสมาธิขึ้นธุดงค์ที่ดอยอินทนนด้วยตัวเองด้วยค่ะ         

ผู้แสดงความคิดเห็น Rachel วันที่ตอบ 2011-01-12 00:48:35 IP : 124.122.167.211


ความคิดเห็นที่ 88 (3277088)
avatar
ช่าง

ทุกท่านที่ว่ามาไม่มีโอกาสไปมนัสการใกล้ๆ ขอกราบในใจครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น ช่าง วันที่ตอบ 2011-01-18 15:40:34 IP : 49.230.61.48


ความคิดเห็นที่ 89 (3277628)
avatar
อมตะธรรม

ทำนายจากหลวงปู่สาวกโลกอุดร  ธมฺมปาโล

     ทุกวันนี้เข้ากลียุคสังคมจะสอนพระ 
หากพระไปสอนสังคมเขาจะเห็นเป็นเรื่องไร้สาระเหลวไหล 
ถ้าใครวิ่งตามสังคม  ความล่มจมจะมาถึง 
ถ้าใครวิ่งตามความเจริญความยับเยินย่อยยับจะมาถึง 
สังคมเดี๋ยวนี้ได้เข้าถึงจุดกลียุค  จึงลุกเป็นฟืนเป็นไฟ 
อนาคตต่อไปภายหน้า  น้ำจะท่วมฟ้า  ปลาจะกินดาว 
ชาวเมืองคนจะล้มตายคล้ายเขาเบื่อปลา 
ชาวประชาจะหูเบา  เชื่อตามกระแสข่าวลือโลกาธิปไตย 
คือเชื่อถือตามคนส่วนมากลากไป 

    บางยุคบางสมัย 
ในน้ำจะไม่มีปลา  ในนาจะไม่มีข้าว 
คนผิวขาวจะเข้าครอง  น้ำอยู่ตามห้วยหนองคลองบึงจะเหือดแห้ง 
ข้าวปลาอาหารสิ่งของต้องการบริโภคจะไม่เพียงพอ 
สิ่งก่อสร้างจะพุ่งแพง  ภัยแล้งจะเผาผลาญ 
ทั่วจักรวาลดินฟ้าอากาศจะเปลี่ยนแปลงเกิดอาเพศ 
พวกอวดตัวว่าเป็นผู้วิเศษอย่างออกหน้า
นับถือศาสนาเหมือนดั่งว่าเขาเป็นสาวกพญามาร 
ฝูงชนจะหลงใหลกันไปบนบานบูชากราบไหว้ 

   มือใครยาวสาวได้สาวเอา 
พวกงี่เง่าเจ้าเล่ห์เพทุบาย  จะหลอกขายข่าวลือ
แบบผีกระสือกระหายให้คนหลงเชื่อแบบงมงาย   
จะทำลายพระศาสดา  พวกหน้าหนาปัญญาปีศาจฉลาดแกมโกง 
จะกอบโกยกินบ้านเมืองอย่างน่าทุเรศ 
พวกอัญญะสัตตถุเทสเหมือนเข้ารีตเดียรถีย์
มีบริวารเป็นคนมารยาจะพากันรุ่งเรือง 
ชาวบ้านชาวเมืองจะอดอยากหิวโหยทุกข์ยากลำบากใจไปทั่วโลก 
พวกโสโครกจะมั่งมีได้ดีเป็นใหญ่ 
ต่อไปฝูงชนจะยกพวกเข้ารบราฆ่าฟันลันแทงกัน
จนเลือดไหลนองกองท่วมพสุธาน่าอุจาด 

   ไฟสงครามกลียุคจะระบาดไปทั่วทุกประเทศ  
พวกกิเลสหนาพากันประจบสอพลอจะได้ดี 
อลัชชีจะขึ้นทรงสุขสบายร่ำรวยมีศักดิ์ศรี 
พระสงฆ์องค์ชีผู้ปฏิบัติดีจะเดือดร้อนยิ่งกว่าตกเป็นทาสสมัยก่อน 
หนอนในไส้จะแผลงฤทธิ์คิดขยาย 
เชื้อโรคร้ายรักษาไม่หายจะมีมาอีก 
เชื้อสารพิษร้ายจะเข้าเผาลนใจกายให้วอดวายตายไปทั้งโลก 
ความเศร้าโศกโศกาประชาชาติจะพินาศล่มจม 
นิสัยสังคมจะเปลี่ยนแปลงวิปลาสขาดสติไปทั่วโลกา 
สงครามจอมซ่าส์บ้าคลั่งศาสนาแบบคนเถื่อนจะมีเกลื่อนแผ่นดิน 
ฝูงชนจะแย่งกันอยู่แย่งกันกิน 

   พวกจำศีลภาวนาตั้งอยู่ในศีลห้า 
มีศีลธรรมนำหน้าประทับตราประจำใจ 
จึงจะพ้นภัยอุบาทว์จากพวกวิหิงสา 
ต่อแต่นี้ไปทุกชาติทุกศาสนาทั่วทั้งโลกใบนี้
จะเกิดมีแต่ภัยพิบัติไปจนถึงที่สุดพุทธันดร** 
ต่อจาก พ.ศ. 5000  ไปอีก 80,000 ปี
ธรรมชาติในโลกใบนี้จึงจะกลับขึ้นมาสมดุลใหม่อีกครั้งหนึ่ง  
และก็จะเข้าสู่ยุคของ พระศรีอริยเมตตรัยสัมมาสัมพุทธเจ้า 
คือพระพุทธเจ้าองค์ที่ 5  ในภัทรกัปนี้.

(**คือสิ้นศาสนาพุทธ 5,000 ปี ของยุคพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า)

หมายเหตุ: คำทำนายนี้หลวงปู่ไม่ระบุว่าเป็นประเทศใดประเทศหนึ่ง  เป็นการทำนายโลกในภาพรวม  ถ้าใครสงสัยคำทำนายว่าจะเกิดภัยพิบัติที่ไหน เวลาไหน  หรือตีปริศนาธรรมไม่ได้ให้ไปถามหลวงปู่เป็นการส่วนตัว . (หลวงปู่สาวกโลกอุดร ธมฺมปาโล)

ปัจจุบัน หลวงปู่ได้ละสังขารแล้ว เมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2544  คณะลูกศิษย์จึงได้พิมพ์เผยแพร่เป็นธรรมทาน  เผื่อว่าชาวพุทธผู้ที่ยังพอมีวาสนาบารมีธรรมอยู่บ้าง  ถ้าได้อ่านแล้วอาจจะได้สติพากันให้ทาน  รักษาศีล  เจริญภาวนา  และประพฤติธรรมกรรมฐานตามแนวทางขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เพื่อให้สังคมไทยรอดพ้นจากกลียุคไปได้.

ขอเชิญรับฟังพระธรรมเทศนาจากหลวงปู่สาวกโลกอุดร  ธมฺมปาโล ได้ทางเวบไซต์ http//www.sawoklokudorn.com/

(ขอขอบคุณ ร.ต.อ.รวีพันธ์ ปุยะติ-ผู้ให้ข้อมูล)

ผู้แสดงความคิดเห็น อมตะธรรม วันที่ตอบ 2011-01-21 16:01:23 IP : 125.26.113.105


ความคิดเห็นที่ 90 (3278448)
avatar
หมอ..

   

เคยได้ยินเขาเล่าถึงหลวงปู่พิศดู วัดเทพธารทองว่า ท่านสำเร็จขั้นปฏิสัมภิทาญาน การรับรู้วาระจิตละเอียดสุดยอด และการอธิษฐานจิตวัตถุมงคล ท่านทำได้ไว และสำเร็จคล้ายหลวงปู่สี วัดถ้ำเขาบุณนาค วัตถุมงคลประสพการณ์สูงมาก มีทุกรูปแบบเลย ตอนนี้คนพยายามหาของๆท่าน(อะไรก็ได้)เอามาบูชา แต่ก็หายากสุดๆเลย ใครมีช่วยบอกบ้างนะครับ
แม้แต่ครูบาอาจารย์ระดับพระอริยะชั้นสูงหลายๆท่าน (ไม่ขอเอ่ยนามละกัน) ยกย่องให้ท่านเป็น พระอาจารย์ใหญ่(สายกรรมฐาน)แห่งภาคตะวันออก โดยแท้จริง บ้างก็ว่าท่านเป็นพระอรหันต์ทรงอภิญญาใหญ่แห่งยุคนี้ ลูกศิษย์สายตรงท่านพระมหาอุปคุต และพระเจ้าอโศกมหาราช(หลวงพ่อลี วัดอโศการาม)



 
ผู้แสดงความคิดเห็น หมอ.. วันที่ตอบ 2011-01-27 02:10:57 IP : 110.49.93.117


ความคิดเห็นที่ 91 (3278481)
avatar
ยันต์ห้า

สมเด็จพระวันรัต (นิรันตร์) วัดเทพศิรินทร์ทราวาส


ชาติภูมิ

          ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ เกิดเมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๕๘ ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๓ ปีเถาะ จุลศักราช ๑๒๗๗ ณ บ้านเลขที่ ๓๓๐ ค ซอยคูกำพล ตำบลบางปลาสร้อย อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี ท่านมีนามเดิมว่า นิรันตร์  โกณเขมะ เป็นบุตรของ อุบาสกสุ้นฮวด และ อุบาสิกากิมหลง (สกุลเดิม ไมตรี) โกณเขมะ ท่านมีน้องสาวคนเดียว คือ นางสาวขวัญจิตต์ โกณเขมะ

ครอบครัวของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ นั้นเป็นคหบดีผู้มีความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด  ปรากฎหลักฐานว่าร่ำรวยมาจากทั้งสองฝ่าย ทั้งอุบาสกลุ้นฮวดและอุบาสิกากิมหลงล้วนเป็นผู้สืบทอดสกุลที่มีมรดกตกทอดเป็นทรัพย์สินเงินทองจำนวนมาก รวมทั้งที่ดินจำนวนหลายพันไร่ในจังหวัดชลบุรีและจังหวัดใกล้เคียง ที่ดินดังกล่าวแบ่งให้ชาวไร่ชาวนาเช่าประกอบสัมมาชีพได้ค่าเช่าเป็นทรัพย์สินเงินทองบ้าง เป็นพืชพันธ์ธัญญาหารบ้าง อุบาสกสุ้นฮวด หรือโยมผู้ชายและอุบาสิกากิมหลง หรือโยมผู้หญิงของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ต่างเป็นที่รักใคร่นับถือของประชาชนในละแวกนั้น ด้วยเหตุที่ว่าเป็นเจ้าของที่ดินที่เอื้อเฟื้อเก็บค่าเช่าด้วยความเมตตา หากปีไหนน้ำน้อยการกสิกรรมอัตคัตก็ผ่อนผันด้วยความกรุณา

          โยมผู้ชายของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ มีนิสัยใฝ่ในทางพระพุทธศาสนามาตั้งแต่เล็ก เมื่อหนุ่มได้บวชเป็นพระภิกษุถึง ๒ ครั้ง นับรวมได้ ๘ พรรษากับพระอาจารย์แจ้งที่วัดอ่างศิลา ได้ฉายานามว่า โกญฑัญโญ ที่พระอธิการแดงวัดใหญ่อินทารามตั้งให้ จึงมีที่มาจากฉายานามเมื่อครั้งบวช แปลความหมายว่า โกณฑัญโญผู้เกษม แต่ด้วยความจำเป็นต้องสืบทอดกิจการของแม่ จึงต้องถือความกตัญญูกตเวทีลาสิกขาออกมาครองเรือน แต่ถึงกระนั้นก็ไม่เคยทอดธุระทางศาสนายังคงยึดมั่นปฏิปทาเป็นอุบาสกแก้ผู้อุปถัมภ์พระพุทธศาสนาด้วย ทาน ศีล ภาวนา ตลอดชีวิต ได้บริจาคทรัพย์สินมหาศาลทำนุบำรุงเป็นประโยชน์เกื้อกูลพระศาสนาอย่างเต็มกำลัง เช่น สร้างโบสถ์ สร้างศาลา สร้างซุ้มพัทธสีมา รวมทั้งกุฎีและวิหารถวายให้กับวัดต่าง ๆ เช่นวัดเขาบางทราย วัดต้นสน วัดกำแพง วัดอ่างศิลา วัดเนินสุทธาวาส วัดราษฎร์บำรุง ฯลฯ แต่วัดที่ตั้งต้นเป็นทายกหลักคือวัดใหญ่อินทรารามเพราะบิดามารดาของอุบาสิกากิมหลงฝากฝังวัดนี้เอาไว้ สร้างตึกเรียนให้แก่โรงเรียนอินทปัญญา ที่วัดใหญ่อินทราราม มีชื่อว่า ตึกโกณเขมะวิทยา

          อีกทั้งยังได้ปฏิสังขรณ์พุทธโบราณสถานถาวรวัตถุที่ชำรุดทรุดโทรม เช่นปฏิสังขรณ์อุโบสถวัดใหญ่อินทารามครั้งที่ ๒

          นอกจากนี้ยังเป็นโยมอุปัฏฐากพระสงฆ์หลายรูป ทุกวันที่บ้านทำบุญตักบาตรพระสงฆ์จำนวนกว่าร้อยองค์ด้วยข้าวปลาอาหารคาวหวานมากมายถึงขนาดที่เรียกว่า หุงข้าวเป็นกระสอบ ทำกับข้าวเป็นหม้อใหญ่ ๆ มิได้ขาด จนเป็นที่เลื่องลือของชาวเมืองชลว่าบ้านนี้ทำบุญหนัก และรู้กันในหมู่สงฆ์ว่าหากวันไหนพระสงฆ์รูปใดในเมืองชลบิณฑบาตไม่ได้ ให้ไปที่บ้านโยมฮวดแล้วจะไม่ผิดหวัง เป็นผู้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่คนบ้านใกล้เรือนเคียง เมื่อมีใครมาขอความช่วยเหลือหากไม่เป็นเรื่องเกินวิสัยก็จะสงเคราะห์ให้ด้วยความเต็มใจ เป็นอุบาสกผู้ซื่อสัตย์ต่อศีลและธรรมที่ได้สมาทานแล้ว ดังที่พระวิสุทธาธิบดี (ไสว ฐิตวีโร) อดีตเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรฯ หนึ่งในบรรดาพระสงฆ์ที่โยมผู้ชายเคยอุปการะกล่าวชมในงานศพว่า ตั้งแต่รู้จักพ่อฮวดไม่เคยได้ยินพ่อฮวดพูดจาว่าร้ายใครทั้งต่อหน้าและลับหลัง ด้านการภาวนาก็หมั่นอบรมจิตใจด้วยการสวดมนต์นั่งสมาธิเป็นนิจศีล เมื่อยามแข็งแรงก็ไปปฏิบัติที่อุโบสถวัดใหญ่ เมื่อเข้าวัยชราก็หมั่นรักษาจิต

อยู่ที่บ้านจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตขนาดขยับกายด้วยตัวเองไม่ได้แล้วก็ยังเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะมั่นคง คือระลึกได้และรู้ตัว ถามลูกสาวและญาติที่คอยดูแลว่าพระที่มาบิณฑบาตที่บ้านกลับไปหมดแล้วหรือยังเมื่อทราบว่าพระกลับไปหมดแล้วก็ให้ลูกสาวและญาติพยุงกายให้ลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ แล้วกำหนดใจสิ้นลมไปในอิริยาบถนั้นเอง บุพการีผู้อุดหนุนและยังเป็นผู้กตัญญูกตเวทีรู้คุณและสนองคุณพระศาสนาเช่นนี้ พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นบุคคลหาได้ยาก จึงนับโยมผู้ชายของเจ้าประคุณสมเด็จฯ เป็นผู้คู่ควรการสรรเสริญ ดังนี้

นิมิตของโยมผู้หญิงท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ
 
ในปีที่เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ จะเกิดนั้น โยมผู้หญิงฝันเห็นราหูอมจันทร์ลอยมาอยู่เหนือยุ้งข้าวที่บ้าน ในฝันเห็นแม่ศาลาหมอตำแยมีชื่อในย่านนั้น ตะโกนบอกว่า “ นั่นแหละของเอ็งไปเอามาซิ ” ต่อมาไม่นานอุบาสิกากิมหลงก็ตั้งครรภ์และคลอดเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ที่ห้องข้างยุ้งข้าวโดยมีแม่ศาลาเป็นผู้ทำคลอด ถึงเรื่องนี้จะเป็นเพียงความฝัน แต่โบราณก็ถือกันว่าเป็นมงคลนิมิตสำคัญประการหนึ่งเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ท่านตีความภาพราหูอมจันทร์ที่ว่าตรงกับภยตูปัฎฐานญาณ คือ ญาณที่ปรากฏให้เห็นว่าสังสารวัฎเป็นภัยเหมือนราหูอมจันทร์ ท่านจึงถือนิมิตนี้เป็นเครื่องเตือนสติให้เห็นโทษภัยของสังสารการเวียนว่ายตายเกิด เหมือนพระจันทร์ที่พยามดิ้นรนให้หลุดพ้นโทษภัยพันธนาการของราหู ท่านใช้นัยนิมิตนี้ในการดำเนินชีวิตตลอดชนม์ชีพ

ลักษณะของผู้มีบุญมาเกิด
 
เจ้าประคุณสมเด็จฯ เมื่อเกิดมามีลักษณะหนึ่งของผู้มีบุญติดมาด้วย คือ มงกุฎครอบเศียรภาษาชาวบ้านเรียกว่ารกติดหัว คือรกมาคุมอยู่ที่ศีรษะลักษณะคล้ายหมวกแบน ๆ คนโบราณที่มีความรู้นับถือกันมากกว่าเป็นของสูงเป็นสัญลักษณ์ของผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่หาได้ยาก ต้องตัดเก็บไว้ทำขวัญและบูชา ซึ่งเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ก็มีคุณลักษณะต้องตามความเชื่อนั้นทุกประการดังจะได้พรรณนาต่อไปแต่แรกเกิดเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ไม่ค่อยแข็งแรงประกอบกับโยมผู้หญิงก็เป็นไข้อยู่ไฟไม่ได้ (สมัยก่อนเมื่อหลังคลอดลูกจะนิยมให้ผู้หญิงอยู่ไฟโดยการให้นอนกระดานฟืนแผ่นเดียว ผู้หญิงแพ้การอยู่ไฟจะมีไข้ขึ้นสูง ตามเนื้อตัวจะมีลูกไฟเป็นเม็ดใส ๆ คล้ายโดยน้ำร้อนลวกขึ้น ) ทำให้ไม่สามารถให้น้ำนมลูกได้ อาการของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ยิ่งกระเสาะกระแสะจนผู้ใหญ่ที่บ้านกลัวว่าจะเลี้ยงไม่รอดโยมผู้ชายจึงไปขอพรกับหลวงพ่อและสิ่งศักดิ์สิทธิ์เทวดาอารักษ์ว่าหากลูกชายรอดชีวิตจะเลี้ยงให้เป็นพระพิมลธรรม (ตำแหน่งพระราชาคณะชั้นรองสมเด็จ) แต่อาการของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ก็ยังไม่ดีขึ้น โยมผู้ชายจึงต้องขอพรซ้ำ คราวนี้ตั้งจิตอธิฐานว่าหากลูกรอดชีวิต จะเลี้ยงลูกชายคนนี้ให้เป็นพระพนรัตน์ ด้วยแรงอธิษฐานและบุญอันได้ทำแล้วในกาลก่อน อาการของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ก็ค่อน  ๆ  ดีขึ้นกลับมาอ้วนท้วนแข็งแรงสมบูรณ์ โยมผู้ชาย หาแม่นมมาให้ได้ถึง ๓ คน คือแม่แช่ม แม่เจียน แม่อิน เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ปรารภระลึกคุณเสมอว่ารอดตายได้เพราะกินนมเขามา (การที่โยมผู้ชายของท่านกล่าวคำอธิษฐานเช่นนั้น ฟังดูอาจจะรู้สึกแปร่งหูไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ก็อาจจะเป็นด้วยเทพยดาเข้าดลใจก็ได้เพราะกาลภายหลังต่อมาก็เป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างดี)

          ยังมีเรื่องเล่าอีกว่า เมื่อแรกเกิด ที่บ้านของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ มักมีตะขาบตัวเขื่อง ๆ เลื้อยเข้ามา บางคืนก็มาพันตัวอยู่ที่หูมุ้ง บางคืนก็เข้าไปในมุ้งที่เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ นอนอยู่ แต่ตะขาบเหล่านั้นก็ไม่เคยทำอันตรายเจ้าประคุณสมเด็จเลย โยมผู้ชายเชื่อว่าตะขาบเหล่านั้นมาคอยดูแลเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ จึงไม่เคยทำร้ายตะขาบเหล่านั้น เมื่อพบก็เพียงแต่จับแล้วนำไปปล่อย เมื่อเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ มาบวชแล้วตะขาบเหล่านั้นก็ค่อย ๆ หายไป

          เมื่อเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ มีชีวิตรอดมาได้ราวปฏิหาริย์ โยมผู้ชายก็นำวันเดือนปีเกิดไปให้อาจารย์แจ้งช่วยทำนาย อาจารย์แจ้งเป็นพระอุปัชฌาย์ของโยมผู้ชายมีชื่อเสียงคุณวิเศษในด้านวิปัสสนากรรมฐาน ปรากฎว่าเกิดมังกรสีเหลืองตัวใหญ่ในนิมิตของอาจารย์แจ้งทำนายว่าต่อไปลูกชายจะได้เป็นจองหงวนผู้ทรงความรู้ เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ จึงมีชื่อภาษาจีนตามที่โยมผู้ชายตั้งให้ว่า ฮกเล้ง แปลว่า มังกรแห่งโชคลาภ ต่อมา เมื่อตามเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( เจริญญาณวรมหาเถร ) มาอยู่ที่วัดเทพศิรินทราวาส เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ได้เมตตาตั้งชื่อใหม่ให้ว่า นิรันตร์ แปลความหมายว่า ไม่มีระหว่างว่างเว้น ดวงชาตาของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ดาวที่บ่งว่าเป็นผู้ทรงความรู้ ตามที่โบราณโหราจารย์นับถือกันก็คือตำแหน่ง ดาว ๕ พฤหัส และดาว ๖ ศุกร์อยู่ในราศีเดียวกันคือราศีมีนว่ากันว่าเป็นดวงวิชาสู้ครูด้วยเหตุที่ว่าพระพฤหัสเป็นอาจารย์ของเทวดาส่วนพระศุกร์เป็นอาจารย์ของอสูรส่งผลให้ เจ้าชาตามีความรู้แกร่งกล้าและมักศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองเป็นใหญ่ บ้างเรียกดวงประเภทนี้ตามภาษาจีนว่า น่อซินแซสองอาจารย์ ความรู้ที่เจ้าชาตามีจึงเป็นความรู้ที่เรียกว่ารู้ในสิ่งที่คนอื่นไม่รู้ แต่ถึงอย่างไรเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ก็ปรารภเสมอว่า ศิษย์เก่งกว่าครูได้แต่อย่างหมิ่นครู     

ผู้แสดงความคิดเห็น ยันต์ห้า วันที่ตอบ 2011-01-27 10:22:31 IP : 125.24.3.223


ความคิดเห็นที่ 92 (3278487)
avatar
ยันต์ห้า

  สมเด็จพระวันรัต (นิรันตร์)

 

ชีวิตในวัยเด็ก

          เมื่ออายุได้ประมาณ ๒-๓ ขวบ โยมผู้ชายพาติดตามเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เมื่อครั้งยังดำรงสมณศักดิ์ที่พระธรรมไตรโลกาจารย์ ตำแหน่งเจ้าคณะมณฑลปราจีนบุรีและแม่กองสอบนักธรรมตรีในมณฑลปราจีนบุรีไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ในคราวเสด็จตรวจการสังฆมณฑลบนเรือทรงพำนักที่ศรีราชา สมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ ทรงมีรับสั่งถามเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ว่า “ เด็กคนนี้เป็นใคร ” เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ทูลว่า “ พ่อเขายกให้เป็นลูก ” สมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ ทรงมีพระเมตตาอุ้ม เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ซึ่งยังเด็กมาก และยังไว้เปียขึ้นนั่งบนพระเพลา เรื่องนี้เป็นเกร็ดทางประวัติศาสตร์ที่เล่าขานในหมู่ศิษย์ในสำนักสมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ ว่าหากพระองค์ทรงทักเด็กคนใดดังเช่นกรณีเจ้าคุณสมเด็จฯ เด็กคนนั้นมักจะต้องบวช และที่เมืองชลบุรี นอกจากเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ แล้วยังมีเด็กหญิงคนหนึ่งที่ทรงทักและต่อมาเด็กหญิงคนนั้นก็มาบวชเป็นแม่ชีอุ่นอยู่ในวัดใหญ่อินทาราม

          ประวัติของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เท่าที่พรรณนามาและจะพรรณนาต่อไปมีหลายเรื่องเป็นที่น่าอัศจรรย์ที่ชวนให้ต้องคิดคำนึงถึงเรื่องชาติภพ เพราะเป็นเรื่องบอกเหตุการณ์อนาคตอย่างแม่นยำ ผ่านคำทำนาย ผ่านเหตุการณ์ และการกระทำต่าง ๆ ความเชื่อเรื่องชาติภพมิใช่สิ่งที่งมงาย ดังที่พระพุทธองค์ก็ได้ทรงบัญญัติไว้ในโลกิยสัมมาทิฎฐิ ข้อหนึ่งว่า เชื่อว่าชาติหน้ามีจริง และเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เองก็พยายามสั่งสอนศิษยานุศิษย์ไม่ให้ประมาทในภพชาติให้เร่งรีบปฏิบัติตนให้เป็นคนดีอย่างน้อยก็ไม่ให้ขาดทุนคือเกิดชาติหน้าขอให้ได้เกิดเป็นคนอีก เพราะถ้าไปเกิดในภพภูมิที่ต่ำกว่าคนก็จะเป็นการยากมากที่จะได้สร้างสมกรรมดี เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ มีคติธรรมเกี่ยวกับกรรมอันข้องเกี่ยวกับชาติภพที่น่าสนใจว่า

“ความดีย่อมสนองความดี ความชั่วย่อมสนองความชั่ว และ ถ้าการสนองนั้นมาถึงช้าก็เพราะเวลานั้นยังมาไม่ถึง” ความเชื่อเรื่องชาติภพหากใครมีประจำใจก็เปรียบเสมือนได้เห็นหนทางไปสู่ความดีจึงเก็บรวบรวมประวัติของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ที่เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้มาลงไว้ด้วยหวังประโยชน์ดังกล่าว

          ครั้งหนึ่งโยมผู้ชายได้ทำการปฏิสังขรณ์อุโบสถวัดใหญ่ ด้วยการจ้างช่างปิดทองจากกรุงเทพ ฯ ไปปิดทองพระประธานจำนวน ๒๔ องค์ เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เวลานั้นอายุได้ประมาณ ๓-๔ ขวบได้ตามไปด้วยและปีนขึ้นไปบนธรรมาสน์แสดงท่าทางเทศนา โดยมีลูกสาวของช่างปิดทองอายุรุ่นราวคราวเดียวกันนั่งพับเพียบฟังอย่างเรียบร้อยเป็นที่น่าเอ็นดูของผู้ใหญ่ จนภรรยานายช่างปิดทองบอกว่าลงมาจากกรุงเทพฯ คราวหน้าจะเอาของมาติดกัณฑ์เทศน์ และเมื่อกลับลงไปอีกครั้งก็ไม่ลืมสัญญาได้นำพระลงยามาให้เจ้าประคุณสมเด็จฯ เป็นกัณฑ์เทศน์ เรื่องนี้เสมือนเป็นเครื่องบอกเหตุว่า เป็นพระเถระผู้มีปฏิภาณ ชำนาญเชิงเทศนาโวหารท่านเป็นผู้แสดงพระธรรมเทศนา ประจำวันพระธัมมัสสวนะ และวันอาทิตย์ในพระอุโบสถวัดเทพศิรินทราวาส  กิจแผนกนี้ถือเป็นกิจวัตรสำคัญไม่จำเป็นไม่ขาดเลย ได้รับการยกย่องว่าเป็นพระเถระที่มีความสามารถในการเทศน์ธรรมวัตรปากเปล่า ด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง สำเนียงฉะฉาน เพียบพร้อมด้วยความไพเราะของภาษาและความรู้อรรถธรรมอันมโหฬาร ท่านจึงเป็นยอดพระธรรมถึกองค์หนึ่งแห่งยุค ถึงขนาดที่ ท่านเจ้าคุณพระราชพรหมาจารย์ (จำรัส ภัทโท) แห่งอดีตเจ้าอาวาสวัดใหญ่อินทาราม โดยขอติดกัณฑ์เทศน์ถึง ๑๐๐,๐๐๐ บาท แต่เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ก็ปฏิเสธไปด้วยความถ่อมตัว (จากคำบอกเล่าหนึ่งเมื่อท่านไปเทศน์ออกรายการวิทยุกระจายเสียงโดยคำเทศน์นั้นเป็นที่ถูกใจของพระมหาเถระชั้นสมเด็จองค์หนึ่ง สมเด็จองค์นั้นสู้อุตส่าห์เดินทางมารอพบที่หน้ากุฏิเพื่อขอคัดลอกสำเนาเทศน์ เทศนาลีลาวิถีอันวิจิตรประณีตของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เป็นที่ประจักษ์แก่สาธุชนที่เคยได้สดับรับฟังโดยถ้วนทั่วกัน

          เมื่ออายุได้ประมาณ ๔-๕ ขวบ โยมผู้ชายเคยพาไปจวนข้าหลวงเมืองชลบุรีในสมัยนั้นพระยาสัจจาภิรมย์ อุดมราชภักดี ( สรวง ศรีเพ็ญ ) ดำรงตำแหน่งข้าหลวง ( หรือตำแหน่งผู้ว่าราชการในสมัยนี้พระยาสัจจาภิรมย์ดำรงตำแหน่งข้าหลวงเมืองชลบุรี ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๖๒ - ๒๔๗๑ )

พระยาสัจจา – ภิรมย์ ได้ถามเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ว่า “ โตขึ้นอยากเป็นอย่างฉันไหม? ”  เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ในตอนนั้นยังเป็นเด็กไม่รู้ความตอบทันทีว่า “ไม่อยาก”  พระยาสัจจาภิรมย์ถามต่อไปอีกว่า “ แล้วโตขึ้นอยากเป็นอะไร? ”  โยมผู้ชายเป็นผู้จำไว้ว่าเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ตอบไปอย่างเด็กยังพูดไม่ชัด แต่จับใจความได้ว่า “ อยากเป็นธรรมไตรโลกฯ ”

          เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เป็นผู้มีไหวพริบปฏิภาณเฉลียวฉลาดมาตั้งแต่เด็ก จึงเป็นที่รักใคร่เมตตาของญาติผู้ใหญ่โดยเฉพาะตาหรุ่น โพธิสุนทร ผู้เป็นบิดาของพระยาอาหารบริรักษ์ และขุนอภัยประศาสน์ (ใจ โพธิสุนทร อดีตนายกเทศมนตรีเมืองชลบุรี) ตาหรุ่นมีศักดิ์เป็นตาของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ตาหรุ่นชอบทดสอบภูมิปัญญาเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เสมอ วันหนึ่งเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ในวัน ๔-๕ ขวบไปเดินเล่นในเขตรั้วบ้านของตาหรุ่น ตาหรุ่นเรียกลูกสาวคือแม่แช่มมีศักดิ์เป็นป้าของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ให้คอยมาดูแล้วก็แกล้งพูดเสียงดัง ๆ ว่า “ ไอ้เงินกินข้าวเสร็จแล้วไปไหน ไม่ยอมเฝ้าบ้าน ” ไอ้เงินเป็นชื่อแมวที่ตาหรุ่นเลี้ยง ตาหรุ่นแกล้งพูดกระทบเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ที่ไม่ยอมอยู่บ้าน แต่มาเดินเที่ยวเล่นในรั้วบ้านแก ปรากฎว่าได้ผลเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ในวันนั้นฟังรู้ความแต่วางภูมิด้วยทำอาการเฉย ๆ ไม่รู้ไม่ชี้อยู่พักหนึ่งแล้วจึงค่อยเดินกลับบ้าน ตาหรุ่นจำเรื่องนี้มาเล่าเป็นที่ชอบใจ

          ก่อนเข้าโรงเรียนเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เรียนเขียนอ่านที่บ้านโดยมีโยมผู้ชายเป็นครูคนแรก เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ สามารถอ่านเขียนได้ดีเกินกว่าเด็กในวัยเดียวกันจะทำได้วันหนึ่งโยมผู้ชายพาไปกราบพระอาจารย์เซ่ง อดีตอธิการวัดกลางชลบุรี พระอธิการเซ่งเป็นพระนักสะสม ที่ฝาผนังกุฏิมีรูปภาพเก่าใหม่มากมายประดับอยู่ เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ไปยืนอยู่ใต้รูปภาพหนึ่ง เป็นรูปพระพุทธเจ้าประทับนั่งบนก้อนศิลาใต้ร่มไม้ภัทรสาลพฤกษ์ ข้างขวามีช้างปาลิไลยก์หมอบราบอยู่กับพื้นชูงวงถวายคนโฑน้ำ ข้างช้างมีพญาลิงเผือกถือรวงผึ้งถวาย ที่ใต้ภาพมีตัวอักษรกำกับ พระอธิการเซ่งเห็นเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ยังเป็นเด็กเล็กนักจึงแกล้งสัพยอกว่า “ อ่านออกไหมล่ะ อ่านออกจะแกะให้ ” เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ จึงอ่านตัวหนังสือใต้ภาพถวายพระอธิการเซ่งให้ประหลาดใจว่า “ พระป่าเลไลยก์ คราวพระทะเลาะกันที่เมืองโกสัมพีฯ ” ตกเย็นนั้น ภาพนั้นก็อันตรธานจากฝาผนังกุฏิพระอธิการเซ่ง ไปติดอยู่ที่ผนังบ้านเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ แทน

ผู้มีความจำเป็นเลิศ

เมื่อถึงวัยต้องเข้าโรงเรียนเรียนหนังสือ ตาหรุ่น โพธิสุนทรผู้ประจักษ์ในไหวพริบเชาว์ปัญญาจึงเป็นผู้รับรองให้เข้าเรียนได้ โยมผู้ชายจึงพาเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ไปเข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนชลราษฎรอำรุงที่โรงเรียนเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ นอกจากเป็นเด็กเรียนเก่งแล้ว ยังมีความจำเป็นเลิศถึงขนาดที่ต่อมามีผู้มาบอกว่าความจำของท่านเหมือนเอามีดกรีดไว้บน*** หากกำหนดใจจำอะไรแล้วไม่มีวันลืม ท่านเคยปรารภให้ฟังว่าสมัยเด็กเมื่อครูเขียนกระดานดำแล้วลบทิ้งเพื่อน ๆ หลายคนจดบนกระดานที่ครูเขียนให้ไม่ทัน ท่านก็สามารถเขียนตามที่ครูเขียนไว้ได้ โดยอาศัยความจำ หรือเมื่อมาบวชเป็นสามเณรในพรรษาแรกก็สามารถท่องจำบทสวดพระปาฏิโมกข์ได้ เพื่อนร่วมชั้นเรียนของท่านที่มีชื่อเสียงได้แก่ พลตำรวจเอก พจน์ เภกะนันทน์ ( อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ) คุณวิทูร จักกะพาก ( อดีตรองปลัดกระทรวงมหาดไทย ) คุณอุทัย กัปปิยบุตร ( อดีตอธิบดีกรมอัยการ )                                 

ชีวิตวัยหนุ่ม

ชีวิตวัยหนุ่มที่ควบคู่กับวัยเรียนนั้น เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เล่าให้ฟังว่าท่านใช้ชีวิตอย่างลูกผู้มีอันจะกินคนหนึ่ง โยมผู้ชายอนุญาตให้ทำอะไรได้ทุกอย่างยกเว้นเรื่องเดียวคือห้ามเล่นการพนันซึ่งท่านก็ไม่เคยแตะต้องเลย ท่านชอบชีวิตโลดโผนท่านจึงใช้ชีวิตแบบนักเลงเมืองชลบุรีในสมัยก่อน ไปไหนมาไหนก็นุ่งกางเกงแพรพกมีดพกไว้สำหรับป้องกันตัว เป็นมีดเนื้อดีแกะสลักอย่างสวยงาม มีดพกนี้นอกจากเป็นเครื่องป้องกันตัวแล้วยังเป็นเครื่องบอกฐานะของเจ้าของด้วย ท่านชอบท่องไปเที่ยวดูมหรสพตามที่ต่าง ๆ ภัตตาคารหรือเหลาในภาษาพื้นบ้านเพราะอยากรู้อยากเห็นว่าเป็นอย่างไรจึงไปดูมาทั่วหมด ยกเว้นแต่ไม่เคยข้องแวะกับสตรีเพศ ชีวิต ๑๕ ปี ก่อนบวชของท่านจึงรู้เรื่องราวของโลกมากเหลือเกิน

ผู้แสดงความคิดเห็น ยันต์ห้า วันที่ตอบ 2011-01-27 10:47:51 IP : 125.24.3.223


ความคิดเห็นที่ 93 (3278488)
avatar
ยันต์ห้า

ไปกับชีสามคน

การศึกษาของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ก้าวหน้ามาตามลำดับเหลืออีกเพียงปีเดียวก็จะเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ ที่โรงเรียนชลราษฎรอำรุง โยมผู้ชายตั้งใจให้เข้ามาเรียนแพทย์ที่กรุงเทพฯ โดยขั้นแรกจะให้เข้าเรียนที่วชิราวุธวิทยาลัยตามความนิยมของคหบดีในสมัยนั้น โยมผู้ชายเตรียมบ้านพักที่กรุงเทพฯ เอาไว้เป็นบ้านของสหายผู้เป็นคหบดีเมืองชลด้วยกัน แต่วันหนึ่งโยมผู้ชายทราบข่าวว่ามีช่างปั้นพระมาอยู่ที่วัดต้นสน ช่างปั้นพระคนนี้มีความสามารถในการนั่งทางใน โยมผู้ชายอยากทราบอนาคตที่วางไว้ให้ลูกชายจะเป็นอย่างไรจึงพาเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ไปหาช่างปั้นพระที่วัดต้นสนแล้วสอบถาม หลังจากเข้าสมาธิด้วยการเพ่งกสิณน้ำในขัน ช่างปั้นก็พยากรณ์เป็นปริศนาว่า “ อีกสองปีจะไปกับชีสามคน ” ถึงจะมีศรัทธาในเรื่องนี้ แต่ครั้งนี้โยมผู้ชายไม่เชื่อถือเลย เพราะทุกอย่างได้เตรียมการไว้หมดแล้ว และโอกาสที่จะข้องแวะกับชีที่หมายถึงนักบวชผู้หญิงนุ่งขาวห่มขาวนั้นก็มีน้อยเต็มที แต่ก็เหมือนกรรมบันดาล ในปีนั้นเองเด็กเรียนเก่งอันดับหนึ่งของโรงเรียนชลฯ อย่างเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ กลับสอบตกชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ ทั้งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้การสอบในสมัยก่อนเป็นการสอบโดยวัดผลรวม ข้อสอบของเด็กนักเรียนทุกคนต้องเอาไปตรวจที่กรุงเทพ ฯ เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เล่าให้ฟังว่า ตอนที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ไปบอกโยมผู้ชายว่าสอบไม่ผ่าน โยมผู้ชายกำลังทำงานอยู่หลังบ้าน โยมผู้ชายมิได้ว่าอะไรสักคำ ได้แต่บอกว่าสอบตกก็สอบให้ผ่าน เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ จึงต้องเรียนซ้ำชั้นอีกหนึ่งปีทำให้การเตรียมตัวเข้ากรุงเทพ ฯ เพื่อเรียนต่อต้องหยุดชะงักลงก่อนในปีที่เรียนซ้ำชั้นนั่นเอง ครูประจำชั้นคือ ครูย้อยกลับให้นักเรียนซ้ำชั้นคือ เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เป็นครูสอนเพื่อนรุ่นน้องในห้องทุกวิชา

          แต่หลังจากเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ  ก็มิได้เข้ามาเรียนต่อดังที่ตั้งใจ กลับตัดสินใจเข้ามาบวชที่กรุงเทพ ฯ โดยในวันที่เดินทางเข้ากรุงเทพ ฯ นั้น เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เดินทางมาพร้อมกับพระภิกษุ ๓ รูป ได้แก่ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์  (เจริญ ญาณวรมหาเถร)  เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส ท่านเจ้าคุณพระเขมทัสสี (เอี่ยม เมฆิยเถร) เจ้าอาวาสวัดเขาบางทราย และหม่อมเจ้าสามเณรเพลารถ (มโนวฑฒนวโส) โยมผู้ชายจึงตีปริศนาที่ช่างปั้นพระบอกว่าอีก ๒ ปี จะไปกับชีสามคนออกว่า คำว่า “ ชี ” ของช่างปั้นพระเป็นคำที่คนโบราณใช้เรียนพระสงฆ์และคำทำนายของช่างปั้นพระก็เป็นความจริงทุกประการ เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ นิยมเล่าเรื่องนี้ให้บุคคลใกล้ชิดฟังโดยให้ข้อคิดท้ายเรื่องว่าชีวิตไม่แน่อย่าเอาแน่กับชีวิต อาจเป็นด้วยบุญบารมีที่สั่งสมมาแต่ชาติปางก่อนหรือสิ่งใดก็ตามที่บันดาลให้เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ สละความสุขทางโลกเข้าสู่ความสุขทางธรรม แต่เหตุผลส่วนตัวเป็นหลักฐานหนักแน่น และช่วยประคับประคองชีวิตในร่มกาสาวพัสตร์ให้เจริญตลอดรอดฝั่ง ท่านให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเมื่อบั้นปลายของชีวิตว่า

          “ ที่คิดบวชไม่สึกนั้น เป็นเพราะโยมผู้ชายเคยปรารถนาที่จะบวชไม่สึกแต่โยมผู้ชายไม่มีโอกาส จึงคิดทำความปรารถนาของโยมผู้ชายให้เป็นจริง”  นี้เป็นความในใจที่ลึกซึ้งของลูกชายที่มีต่อพ่อผู้เป็นที่รักยิ่ง

เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์

เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ บรรพชาเมื่อวันที่ ๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๔ เมื่ออายุได้ ๑๖ ปี โดยมีสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรมหาเถร) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระเทพกวี (จั่น วิจญจลเถร) เป็นบรรพชาจารย์ เจ้าประคุณสมเด็จเมื่อบรรพชาเป็นสามเณรก็ตั้งใจศึกษาพระปริยัติธรรมในสำนักเรียนวัดเทพศิรินทราวาส  โดยสอบไล่ได้ชั้นและประโยคดังนี้

                สอบได้นักธรรมตรีและเปรียญธรรม ๓ ประโยค                        พ.ศ. ๒๔๗๕

                สอบได้นักธรรมโทและเปรียญธรรม ๔ ประโยค                       พ.ศ. ๒๔๗๖

                สอบได้นักธรรมเอกและเปรียญธรรม ๕ ประโยค                      พ.ศ. ๒๔๗๗

                สอบได้เปรียญธรรม ๖ ประโยค                                           พ.ศ. ๒๔๗๘

เมื่ออายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๔๗๙ มีนิยมนามตามภาษามคธว่า นิรนฺตโร โดยมีเจ้าประคุณสมเด็นพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาวรมหาเถร) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระเขมทัสสี (เอี่ยม เมฆิยเถร) วัดเขาบางทราย จังหวัดชลบุรี เป็นพระกรรมวาจาจารย์

                จากนั้นก็ยังคงศึกษาพระปริยัติธรรมต่อ จนกระทั่งสามารถสอบไล่ได้ประโยค ดังนี้

                สอบได้เปรียญธรรม ๗ ประโยค                                          พ.ศ. ๒๔๗๙

                สอบได้เปรียญธรรม ๘ ประโยค                                          พ.ศ. ๒๔๘๐

                สอบได้เปรียญธรรม ๙ ประโยค                                          พ.ศ. ๒๔๘๑

ตู้ประไตรปิฎกเคลื่อนที่

เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ นับเป็นพระเปรียญหนุ่มที่มีความรู้ทางพระปริยัติธรรมอย่างเอกอุสามารถสอบไล่เปรียญธรรม ๓-๙ ประโยคได้ติดต่อกันทุกปีไม่มีระหว่างว่างเว้น เป็นที่เลื่องชื่อลือชาของวงการศึกษาสงฆ์สมัยนั้น ท่านเป็นผู้แตกฉานในพระไตรปิฏกถึงขนาดที่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ผู้ทรงความรู้อย่างมโหฬารยังยกย่องให้ท่านเป็นตู้พระไตรปิฏกเคลื่อนที่ ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาศาสตร์ วรรณคดี ประวัติศาสตร์ โหราศาสตร์ ดาราศาสตร์ ฯลฯ โดยเฉพาะด้านภาษา ท่านได้รับการยกย่องเป็นนักปราชญ์ภาษาบาลีสันสกฤต โดยสามารถอ่านและเขียนได้ทั้งอักษร   เทวนาครีและสิงหล นอกจากนั้นยังชำนาญในภาษาขอม อังกฤษ และลาติน ความรู้อันไพศาลของท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เหล่านี้สามารถพิจารณาได้จากตำราและหนังสือต่าง ๆ ที่ท่านได้ชำระและนิพนธ์ซึ่งจักได้พรรณนาต่อไป

          ท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นครูสอนพระปริยัติธรรมสำนักเรียนวัดเทพศิรินทราวาส เป็นกรรมการตรวจธรรมสนามหลวง (๒๔๗๙) เป็นกรรมการตรวจชั้นบาลีสนามหลวง (๒๔๘๑) เป็นสมาชิกสังฆสภา (๒๔๘๕) เป็นพระวินัยชั้นอุทธรณ์ และเป็นอาจารย์สภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัย

          ถึงแม้ว่าท่านเป็นนักปราชญ์ภาษาบาลีสันสกฤตแห่งยุค ที่หาใครเทียบยากถึงขนาดที่มีผู้กล่าวว่าท่านสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับบาลีได้หมด แต่ท่านก็เคยปรารภเป็นทำนองถ่อมตัวว่าก็มีที่ไม่รู้แต่ไม่มีคนถาม ความรู้ทางภาษาของท่านจึงนับเป็นเอกลักษณ์ประจำองค์และเป็นศักดิ์ศรีของคณะสงฆ์วัดเทพศิรินทราวาส มีเรื่องเล่าว่าครั้งหนึ่งในงานศพพระเถระที่วัดมหาธาตุเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ในสมัยนั้นยังเป็นเพียงพระมหานิรนตร์นั่งอยู่ในหมู่พระเถรานุเถระใต้ต้นไม้ใหญ่ ต้นไม้นั้นมีต้นกาฝากเกาะอยู่ พระเดชพระคุณพระพรหมมุนี (ผิน สุวโจ อดีตเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ พระสุพจนมุนี) ได้ยินกิตติศัพท์เรื่องภาษาของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ จึงลองถามเจ้าประคุณสมเด็จ ฯท่ามกลางพระเถระว่า “ พระนิรันตร์ กาฝากภาษาบาลีว่าอะไร? ” แทบไม่ต้องคิดเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เรียนว่า “ กาฝาก ภาษาบาลีว่า รุกขขาทนี ” ท่านเจ้าคุณพระพรหมมุนีถามต่อไปว่า “ แปลว่าอะไร?” เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เรียนว่า “ แปลว่า กินต้นไม้(เดิม) ” ท่านเล่าให้ฟังว่า พระเดชพระคุณพระพรหมมุนี ยิ้มและเย้าว่า “ พระนิรันตร์นี่เดา ” แต่มีพระเถระองค์หนึ่งอยู่ในที่นั้นออกปากรับประกันว่า “องค์นี้ไม่เดา” ต่อมาเมื่อฐานะเข้าเถรภูมิได้ พระเดชพระคุณพระพรหมมุนีลองภูมิที่วัดมหาธาตุ ได้คิดราชทินนามถวายว่า พระนิรุตติญาณมุนี มีความหมายว่าเก่งภาษา แต่เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรมหาเถร) องค์สังฆนายก แก้เป็น พระนิรันตรญาณมุนี ตามนามฉายาของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ

          วันที่ ๘ มิถุนายน ๒๔๙๐ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่พระนิรนตรญาณมุนี

          เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ นับเป็นพระราชาคณะที่มีอายุน้อยที่สุดในสมัยนั้นเมื่อได้รับพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ เป็นพระราชาคณะก็ยิ่งเพิ่มพูนในความเป็นนักสิกขกาโม (ผู้ใคร่ในการค้นคว้า) ตามประสาวิสัยของนักปราชญ์บัณฑิตเมื่อตนรู้สิ่งใดก็ปรารถนาให้ผู้อื่นได้รู้ตามด้วย ด้วยเหตุแห่งนิสัยนี้จึงเป็นที่โปรดปรานของพระมหาเถรานุเถระในสมัยนี้เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ได้เรียบเรียงหนังสือเรื่องบทความหลายรสขึ้น มีสำเนาลายพระหัตถ์สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ องค์นายกกรรมการมหามกุฎราชวิทยาลัย ประทานสาธุการและประทานพรแก่เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ดังที่ได้อัญเชิญมาพิมพ์ไว้ ดังนี้

สำเนา

ที่ ๑๓๑๔/๒๔๙๖                                                                                                มหามกุฎราชวิทยาลัย

                                                                ๑๘ สิงหาคม ๒๔๙๖

                เรื่อง       มอบลิขสิทธิ์หนังสือ

                ถึง           พระนิรันตรญาณมุนี

                เจ้าคุณได้มีอุตสาหะเรียบเรียงเรื่องบทความหลายรส ประกอบด้วยเรื่อง ๑๒ เรื่อง และมอบลิขสิทธิ์ให้สภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัย พิมพ์เผยแพร่ต่อไป

                หนังสือที่เจ้าคุณรวบรวมขึ้นนี้ เป็นผลของการค้นคว้า เมื่อได้รับประโยชน์ส่วนตนแล้ว ยังทำให้นำหลักฐาน เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นต่อไปอีกความอุตสาหะพยายาม ที่ได้ปฏิบัติไปแล้วนั้น เป็นการดีการชอบ ทางศาสนาของเรา สรรเสริญการบำเพ็ญประโยชน์ จึงขอสาธุการ ในการบำเพ็ญประโยชน์ของเจ้าคุณไว้ที่นี้ด้วย

                ขอเจ้าคุณมีความเจริญงอกงามในพระธรรมวินัย และปราศจากอนิจผลตลอดกาลทุกเมื่อ

 พระวชิรญาณวงศ์   (สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์)  นายกกรรมการมหามกุฎราชวิทยาลัย

          วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๔๙๖ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะชั้นราช ในราชทินนามเดิม

ในคืนวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๓๙ หลังจากเข้ารับพระราชทานสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก เสด็จมาแสดงมุทิตาเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ว่า “ดีใจด้วยมาก อยากให้เป็นสมเด็จมาตั้งนานแล้ว” เจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราชองค์นี้ทรงมีเมตตาต่อเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ มาก ในฐานะที่ทำงานในคณะธรรมยุตมาด้วยกัน และบุกเบิกเรื่องการศึกษาของคณะสงฆ์มาตั้งแต่ต้น เมื่อครั้งทรงดำรงสมณศักดิ์ที่พระสาสนโสภณ ผู้อำนวยการมหามกุฎราชวิทยาลัย ก็มอบหมายหน้าที่ให้เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ชำระพระคัมภีร์อภิธานัปปทีปิกา และเมื่อได้ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ก็ทรงมีพระบัญชาแต่งตั้งให้เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เป็นกรรมการมหาเถรสมาคม เพราะทรงมั่นพระทัยให้ภูมิธรรมของเจ้าประคุณสมเด็จฯ

          เป็นที่ทราบกันว่าเมื่อทรงมีปัญหาเกี่ยวกับการแปลชำระเรียบเรียงหนังสือต่าง ๆ แล้วจะทรงนึกถึงเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ก่อนคนอื่น เพราะเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ นอกจากเป็นที่ไว้วางพระทัยแล้ว ยังเป็นผู้เปรื่องปราดถวายความเห็นได้ถูกต้องตรงตามพระอัธยาศัย ได้ยินมาว่า ครั้งหนึ่งทรงมีรับสั่งถามพระเถรานุเถระที่ไปถวายสักการะในวันเข้าพรรษา ถึงเนื้อความชาดกว่า “ พระมหากษัตริย์องค์ใดที่ทอดพระเนตรต้นมะม่วงแล้วทรงออกบวช ?” พระมหาเถรานุเถระในที่นั้นต่างทูลถวายคำตอบ แต่เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ทราบว่าไม่มีพระเถระองค์ใดตอบถูกจึงรอให้ที่ประชุมสงฆ์นั้นกลับหมดก่อน แล้วทูลถวายคำตอบว่า “ พระมหากษัตริย์พระองค์นั้นคือ พระมหาชนก” เมื่อได้เข้าเฝ้าอีกคราวหนึ่งเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราชทรงมี รับสั่งกับเจ้าประคุณสมเด็จฯ ว่า “ เรื่องที่ตอบไปครั้งที่แล้วถูกต้อง ”

ในสมัยที่เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการมหามกุฎราชวิทยาลัยเป็นกรรมการเถรสมาคมคณะธรรมยุต ด้านงานตำราได้เรียบเรียงบทความเป็นหนังสือชื่อว่า เรื่องเก่าเล่าใหม่และชมดาว หนังสือรวม ๓ เล่มนี้ เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เรียบเรียงจากเรื่องเก่า  ๆ ด้วยหวังมิให้เนื้อความดี ๆ และความงดงามของภาษาสูญไปเสียและเสนอข้อสันนิษฐานเพื่อเพิ่มพูนความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ แก่ผู้อ่าน แต่หากได้อ่านแล้วจะทราบว่าหนังสือเล่มบาง ๆ เพียง ๓ เล่มนี้ อัดแน่นไปด้วยภูมิรู้ชั้นสูงทั้งทางด้านภาษาศาสตร์ วรรณคดี ประวัติศาสตร์ โบราณคดี  ทั้งนี้ทั้งนั้นก็มิได้ทอดทิ้งคดีธรรม โดยเฉพาะชมดาวได้เพิ่มความรู้ทางดาราศาสตร์ช่วยให้ผู้อ่านได้ท่องไปในจักรวาลชมความงดงามของดวงดาวต่าง ๆ ได้กระจ่างตายิ่งขึ้น          

เป็นโหราจารย์

เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ท่านมีความรู้ทางด้านโหราศาสตร์ถึงขนาดเป็นโหราจารย์ได้ เมื่อแรกบวชท่านมีความสนใจในวิชานี้ท่านจึงได้ไปเรียนกับโหราจารย์มีชื่อและศึกษาเองจากตำราโบราณชั้นครู ประกอบกับท่านเป็นผู้มีสติปัญญาหลักแหลม ความทรงจำมั่นคงทำให้วิทยาการนี้เจริญอย่างรวดเร็วจนได้รับการนับถือว่าเป็นอาจารย์ได้ แต่เมื่อเรื่องนี้ถึงหูโยมผู้ชาย โยมผู้ชายจึงห้ามเสีย เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เ ล่าว่าโยมผู้ชายกลัวว่าจะหากินทางโหราศาสตร์จะเป็นที่อับอายแก่คนอื่นและเสียทีที่มาบวชโยมผู้ชายขอร้องให้ตั้งใจศึกษาพระปริยัติธรรม เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ จึงหยุดเรียนโหราศาสตร์และบริจาคตำราให้เป็นวิทยาทาน เจ้าประคุณสมเด็จฯ ไม่เคยบอกใครว่ามีความรู้ด้านนี้ไม่เคยอวดตัวแม้จะทรงจำภูมิรู้นี้ไว้ครบถ้วนจนถึงที่สุดของสังขาร ได้เห็นมาว่าครั้งหนึ่งท่านตรวจดวงลูกศิษย์ก้นกุฏิในฐานะที่ท่านเมตตาเป็นพิเศษ พบว่าลูกศิษย์คนนี้กำลังเผชิญเคราะห์กรรมอย่างหนัก หากปล่อยไปจะทำให้วิถีชีวิตตกต่ำ จนอาจถึงแก่ชีวิตได้ ท่านเรียกลูกศิษย์คนนี้มาตักเตือนให้ดำเนินชีวิตใหม่ตามที่ท่านแนะนำลูกศิษย์คนนี้ในตอนแรกไม่เชื่อว่าเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ จะมีความสามารถถึงเพียงนั้น แต่ก็ต้องยอมจำนน เพราะท่านทำนายเรื่องราวต่าง ๆ ได้แม่นยำราวกับตาเห็นไม่เว้นแม้แต่ ตัวบุคคล อายุ เพศ สถานที่ เวลาที่เกี่ยวข้อง สุดท้ายลูกศิษย์คนนั้นต้องก้มกราบแทบเท้าท่านที่ได้ให้ชีวิตใหม่ โดยที่เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ พูดอยู่ประโยคหนึ่งว่า

“เรื่องดวง ถ้ากันไม่ดู กันก็ไม่ดู แต่ถ้าดูแล้ว ใครอย่ามาเถียงกัน”

ผู้แสดงความคิดเห็น ยันต์ห้า วันที่ตอบ 2011-01-27 10:50:01 IP : 125.24.3.223


ความคิดเห็นที่ 94 (3278490)
avatar
ยันต์ห้า

ได้เป็นสมเด็จ ๒ ตำแหน่ง

          วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๐๐ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพโมลี ในศกนี้ พระเถระวัดเทพศิรินทราวาสได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ ๓ รูปด้วยกัน ทางวัดได้จัดให้มีการแสดงมุทิตาจิตแด่พระเถระในพระอุโบสถ เมื่อพระเถระทั้ง ๓ รูปกำลังเดินเข้าพระอุโบสถ มีซินแสจีนคนหนึ่งเป็นหมอดูได้พูดขึ้นว่า “องค์ที่ได้ขึ้นเป็นเทพโมลี ต่อไปจะได้เป็นสมเด็จ ฯ” คนที่ยืนอยู่ด้วยกันในบริเวณนั้นถามว่าจะเป็นสมเด็จอะไร ซินแสจีนคนนั้นบอกว่า “จะเป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์” เรื่องที่จะได้เป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์นิกจากซินแสจีนผู้นี้ยังมีโหราจารย์และผู้รู้เคยพยากรณ์ไว้อีกหลายปาก เหมือนท่านเหล่านั้นจะมีตาทิพย์เห็นเหตุการณ์ข้างหน้าดังจะพรรณนาต่อไป

          ในศกนี้ ตำแหน่งพระราชาคณะชั้นธรรมที่จะได้รับพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ มี ๒ ตำแหน่ง คือ คณะธรรมยุค ได้แก่ พระธรรมปิฎก คณะมหานิกาย ได้แก่ พระธรรมไตรโลกาจารย์ กรรมการคณะธรรมยุค มีมติเห็นพ้องกันให้พระเทพโมลีวัดเทพศิรินทราวาส เลื่อนเป็นพระธรรมปิฎก เมื่อเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ทราบเช่นนั้นจึงเดินทางไปบอกโยมผู้ชายที่เมืองชลบุรีว่า “ปีนี้จะได้เลื่อนชั้นธรรมจะได้เป็นพระธรรมปิฎก” โยมผู้ชายบอกแก่เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ว่า “เจ้าคุณไม่ได้เป็นพระธรรมปิฎก เจ้าคุณต้องเป็นพระธรรมไตรโลกาจารย์ พระเจ้าคุณเคยไปบอกพระยาสัจจาภิรมย์ไว้แล้ว”

          เป็นที่ทราบกันว่า ตำแหน่งสมณศักดิ์นั้นเมื่ออยู่คณะใด ก็เป็นของคณะนั้นและเป็นเรื่องละเอียดอ่อน อ่อนไหวต่อการกระทบกระทั่ง จึงเป็นเรื่องยากที่จะมีการเปลี่ยนแปลง เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ จึงไม่เห็นทีท่าว่าจะได้เป็นพระธรรมไตรโลกาจารย์ได้อย่างไร จนกระทั่งเรื่องนี้ขึ้นไปถึงขั้นตอนสุดท้าย คือให้เจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราชลงพระนาม เมื่อเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราช (ปลด กิตติโสภณมหาเถร วัดเบญจมบพิตร) ทอดพระเนตรเห็นบัญชีรายนามพระเถระที่จะได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ ทรงมีพระบัญชาให้สลับตำแหน่งพระธรรมไตรโลกาจารย์ มาให้พระเทพโมลี วัดเทพศิรินทราวาส ทรงให้เหตุผลว่าตำแหน่งนี้พระอุปัชฌาย์ของพระเทพโมลี คือ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เคยเป็นมาก่อนเจ้าประคุณสมเด็จึงได้เป็นพระธรรมไตรโลกาจารย์ดังที่ได้ประกาศไว้กับพระยาสัจจาภิรมย์เมื่ออายุยังไม่ถึงห้าขวบปีด้วยเหตุมหัศจรรย์ดังนี้

          ณ วันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๓๙ ได้รับพระราชทานสถาปนาเลื่อนสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระราชาคณะ ที่ สมเด็จพระวันรัต มีราชทินนามตามจารึกในสุพรรณบัฎว่า

          สมเด็จพระวันรัต ปริยัติปฏิบัติคุณดิเรก อเนกคัมภีรธรรมัตถโกศล สุวิมลวินยสุนทร

          ณาณวรวรางกูร วิบูลธรรมโสภิต ตรีปิฎกบัณฑิต ยติคณิสสร บวรสังคาราม คามวาสี

          อรัญวาสี สถิต ณ วัดเทพศิรินทราวาส พระอารามหลวง จงเจริญทีฆายุ จิรัฎธิติกาล

          ในพระพุทธศาสนา เทอญ ฯ

          ในศกนี้ ตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะว่างลง ๒ ตำแหน่ง คือ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ๑ สมเด็จพระวันรัต ๑ เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ได้รับเมตตาธรรมจากพระมหาเถระเสนอให้เป็นสมเด็จพระวันรัต แทนที่จะเสนอให้เป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ซึ่งเจ้าประคุณสมเด็จ ฯบอกว่า เป็นเพราะโยมผู้ชายได้อธิษฐานขอไว้ อีกเหตุผลหนึ่งท่านไม่เลือกเป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ท่านกล่าวว่า ถ้าเป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เวลาเซ็นชื่อ ก็ต้องเซ็นชื่อเป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เหมือนสมเด็จพระอุปัชฌาย์ เพียงคิดก็ไม่กล้าแล้ว

          วันที่ ๒๑ พฤศจิการยน ๒๕๓๙ คณะสงฆ์วัดเทพศิรินทราวาสพร้อมด้วยคณะศิษยานุศิษย์ ได้จัดพิธีสมโภชสุพรรณบัฎที่ได้รับพระราชทานสถาปนา ในการนี้เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวัง เจ้าหน้าที่สำนักอาลักษณ์และเครื่องราชอิศริยาภรณ์และเจ้าหน้าที่กรมการศาสนา เชิญสุพรรณบัฎและเครื่องยศสมณศักดิ์ขึ้นตั้งไว้ ณ โต๊ะหมู่ที่เตรียมพร้อมไว้ในพระอุโบสถวัดเทพศิรินทราวาส พิธิสมโภชสุพรรณบัฎดำเนินไปจนเสร็จพิธี มีสามเณรรูปหนึ่งต้องการจะชมสุพรรณบัฎนั้นเป็นเช่นไรเพราะไม่เคยเห็นจึงได้กราบเรียนขออนุญาตขอชม เมื่อได้รับอนุญาตจึงไปหยิบมาดู ปรากฎว่าสุพรรณบัฎนั้น เป็นสุพรรณบัฎที่จารึกนามของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ท่านจึงได้แจ้งเจ้าหน้าที่ให้ได้ทราบ เมื่อเจ้าหน้าที่ทราบเรื่องต่างตกใจเป็นอย่างมากเพราะไม่เคยมีการผิดพลาดเจ้าหน้าที่ทั้งหลายรีบไปเชิญสุพรรณบัฎของสมเด็จพระวันรัตมาถวายเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ พร้อมกับกราบขออภัยให้งดโทษ เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ มิได้ว่ากระไร นอกจากมอบรางวัลเพิ่มเป็นกำลังใจที่ต้องเหนื่อยถึงสองครั้งในการไปเชิญสุพรรณบัฎมาถวาย เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่มหัศจรรย์ จึงกล่าวได้ว่าเจ้าประคุณสมเด็จ ได้สถาปนาเป็นสมเด็จพระวันรัต ตามที่โยมผู้ชายได้อธิษฐานขอไว้กับหลวงพ่อเฉย และได้รับพระราชทานสุพรรณบัฎของ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ตามคำทำนายของโหรทั้งหลาย ด้วยการสมโภชสุพรรณบัฎ อันตำแหน่งสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์และสมเด็จพระวันรัตนี้ เป็นตำแหน่งที่สมเด็จพระราชาคณะที่มีมาเดิมตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา สันนิษฐานว่าเป็นราชทินนามที่ได้มาจากลังกา เป็นตำแหน่งคู่กันของสังฆนายก ฝ่ายคามวาสีและอรัญวาสี ตำแหน่ง ๒ ตำแหน่งนี้จึงเป็นตำแหน่งที่สูงส่ง ศักดิ์สิทธิ์ พระมหาเถระผู้จะได้รับพระราชทานนามนี้ จะต้องมีความสำคัญมากทั้งในด้านภูมิรู้และภูมิธรรม กล่าวกันว่าหากบุญบารมีไม่เพียงพอก็เป็นไม่ได้ การที่เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ได้เป็นสมเด็จถึง ๒ ตำแหน่งจึงเป็นเครื่องยืนยันสิ่งที่พรรณนามาแต่ตอนต้นว่า ท่านเป็นผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ต้องตามโบราณวินิจฉัยทุกประการ

ชำระพระคำภีร์

ผลงานด้านตำรา นอกจากได้ช่วยชำระตำราเรียนจำนวนมากมายในการดำรงมหามกุฎราชวิทยาลัยแล้ว เจ้าประคุณสมเด็จฯ ยังได้รับมอบหมายหน้าที่จากเจ้าประคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก (ครั้งทรงดำรงสมณศักดิ์ที่ พระสาสน-โสภณ ผู้อำนวยการมหามกุฎราชวิทยาลัย) ให้ตรวจชำระพระคัมภีร์อภิธานัปปทีปิกา และพระคัมภีร์ธาตุปปทีปิกา อันพระคัมภีร์อภิธานัปปทีปิกาและคัมภีร์ธาตุปปทีปิกา เป็นพระคัมภีร์ที่จัดเป็นตำราพจนานุกรมที่มีคุณค่าสารประโยชน์ ประดุจเป็นประทีปศัพท์ช่วยส่องสว่างพระคัมภีร์บาลีทั้งหลายมีผู้กล่าวไว้ว่าพระคัมภีร์นี้เหมาะแก่นักเรียนที่มีภูมิรู้สูงมิพักต้องพูดถึงผู้รับหน้าที่ชำระสอบทานแก้ไข หากภูมิรู้ไม่มั่นคงจะทานภาระหนักนี้ไม่ได้ ฉะนั้น การที่เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ รับภาระชำระพระคัมภีร์นี้จึงเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้ศึกษาภาษาบาลีในประเทศไทยสืบไปตลอดกาลนาน               
 
ทำนุบำรุงวัด

วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๒๑ ได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรอง ชันหิรัณยบัฎ ที่ พระสาสนโสภณ ในสมัยนี้เป็นยุคที่เจ้าประคุณสมเด็จ ฯเริ่มครองวัด (๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๒๑) ท่านเป็นเจ้าอาวาสที่อุดมด้วยพรหมวิหารธรรม เปรียบเหมือนต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาไป ทำให้ผู้อยู่ใต้ปกครองได้รับความร่มเย็นเป็นสุข ในการปกครองจึงเอาใจใส่สอดส่องดูแลพระสงฆ์สามเณรอย่างเท่าเทียมกัน มิได้เลือกที่รักมักที่ชัก เมื่อพระเถระองค์ใด ถึงพร้อมด้วยวัยวุฒิและคุณวุฒิ ท่านก็สนับสนุนให้เจริญด้วยสมณศักดิ์ พระเถรานุเถระที่เติบใหญ่เป็นหลักเป็นฐานแก่ วัดเทพศิรินทราวาสก็ด้วยอำนาจเมตตาธรรมของเจ้าประคุณสมเด็จฯ โดยแท้

          ท่านเป็นเจ้าวัดที่ถือความเจริญรุ่งเรืองของวัดเป็นใหญ่ ถือความมั่นคงสถาพรของวัดเป็นธงชัย สิ่งใดที่เป็นประโยชน์แก่วัดท่าน ไม่รีรอ ที่จะกระทำแต่สิ่งใดนำมาซึ่งคำตำหนิติเตียนเสียหายแม้เพียงชื่อเสียงของวัด ท่านห้ามปรามและป้องกันท่านได้ดำเนินการบูรณปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุสิ่งก่อสร้างในวัดที่ชำรุดทรุดโทรม ให้กลับมีสภาพดีมั่นคงถาวรมาโดยลำดับกล่าวเพียงสังเขป คือ ซุ้มประตูหน้าวัด ซุ้มระฆังหน้าวัด ศาลาบริเวณพระอุโบสถ คณะเหนือ คณะกลาง คณะใต้ ฯลฯ

          ในการปฏิสังขรณ์พระอุโบสถครั้งใหญ่ ท่านได้แสดงให้เห็นความสามารถในด้านการก่อสร้างอย่างเด่นชัด ท่านให้ช่างขุดเจาะที่บานพระอุโบสถพบว่าฐานเดิมทำไว้ไม่มั่นคง นานไปจะรองรับน้ำหนักพระอุโบสถไว้ไม่ไหว ท่านสั่งให้เพิ่มเติมรากฐานด้วยเสาขนาดมหึมาอีกหลายต้น สิ่งใดที่อยู่บนหลังคาอุโบสถที่มีน้ำหนักเกินความจำเป็นต่อไปจะทำอันตรายต่อตัวพระอุโบสถได้ เช่น ช่อฟ้าใบระกา ท่านให้รื้อออก และทำเลียนแบบด้วยวัสดุที่มีน้ำหนักเบา แต่ยังคงความสง่างามแก่องค์พรอุโบสถเหมือของเดิมไม่ผิดเพี้ยน วันหนึ่งขณะทำการปฏิสังขรณ์ มีพระเถระผู้ใหญ่ต่างวัดเดินทางมาพบเข้าถึงอุทานว่า “ซ่อมอย่างนี้อีกร้อยปีโบสถ์วัดเทพฯ ก็ไม่เป็นไร” วัดเทพฯ มีสมภารที่พึงวัดได้เช่นนี้จึงพยุงวัดให้มั่นคงมาได้จนถึงทุกวันนี้

          มีเรื่องเล่าว่า เมื่อเริ่มครองวัดท่านทำการก่อสร้างซ่อมแซมกำแพงรอบวัดเมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ ทางราชการได้มาก่อสร้างบาทวิถีริมรั้ววัดด้านพลับพลาอิศริยาภรณ์ สูงประมาณครึ่งศอก ดังนั้นเมื่อมองจากพื้นดินทำให้รั้ววัดด้านสระน้ำกับด้านพลับพลา ฯ ไม่เท่ากัน ต่อมาอีก ๒๐ ปีให้หลัง ทางราชการได้มาต่อเติมถนนริมรั้วด้านสระน้ำทำให้พื้นถนนสูงขึ้นกว่าเดิม วันหนึ่ง เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ นั่งอยู่ที่กุฎิก็รำพึงออกมาว่า “ค่อยโล่งใจรั้ววัดเท่ากันแล้ว” ทำให้เห็นว่าตลอดเวลา ๒๐ กว่าปี ท่านไม่เคยวางใจในเรื่องแม้เพียงเท่านี้ เจ้าอาวาสที่อุทิศตนเพื่อวัดแทบทุกลมหายใจเข้าออกเช่นนี้ย่อมเป็นผู้หาได้ไม่ง่ายนัก    

ผู้แสดงความคิดเห็น ยันต์ห้า วันที่ตอบ 2011-01-27 10:52:09 IP : 125.24.3.223


ความคิดเห็นที่ 95 (3278491)
avatar
ยันต์ห้า

ยกย่องในความกตัญญู

          เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เป็นผู้มีความกตัญญูกตเวที และสรรเสริญบุคคลที่มีคุณธรรมข้อนี้ กุฎีที่ท่านพำนักชั้นบนเคยเป็นที่พำนักของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรมหาเถร) เมื่อสมเด็จพระอุปัชฌาย์มรณภาพ ท่านก็ไม่เคยอย่างกรายขึ้นไปละลาบละล้วง ปล่อยทุกอย่างให้คงเดิม อาศัยขึ้นไปค้นข้อมูลจากหนังสือที่เก็บไว้บนนั้นเป็นครั้งคราว ได้ยินมาว่า สมัยที่เป็นพระมหาเปรียบท่านมีความชำนิชำนาญในความรู้ภาษาบาลี แต่ความรู้เรื่องภาษาสันสกฤตยังมีน้อยเต็มที ในครั้งนั้น ท่านได้พบและได้เรียนภาษาสันสกฤตกับพระสารประเสริฐ (ตรี นาคะประทีป) ปราชญ์ด้านอักษรศาสตร์ของเมืองไทยพระสารประเสริฐแนะว่าการเรียนภาษาสันสกฤตก็ใช้หลักเดียวกับภาษาบาลีเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เรียนภาษาสันสกฤตกับพระสารประเสริฐเพียงไม่นานก็ทำให้ความรู้ภาษาสันสกฤตของท่าน เพิ่มพูนกว้างใหญ่ไพศาล ถึงกระนั้นท่านก็ยกย่องพระสารประเสริฐเป็นครูท่านบอกลูกศิษย์ใกล้ชิดว่า “สวดมนต์ไหว้คุณอยู่ทุกคืน” ใครเคยมีคุณกับท่าน ท่านก็มักประกาศคุณนั้น ๆ ให้ปรากฎไม่ลืมเลือนและหาทางสนองคุณสมนาคุณในโอกาส แต่ถึงอย่างนั้นท่านก็ให้ข้อคิดเกี่ยวกับความกตัญญูกตเวทีไว้น่าฟังว่า      “พืชถูกไฟเผาย่อมไม่งอกขึ้นในไฟ ฉันได แม้ไมตรีกรรมที่ทำไว้ในอสัตบุรุษก็สูญเปล่าไม่งอกงาม ฉันนั้น (แต่) ไมตรีกรรมที่บุคคลทำไว้ในคนกตัญญู มีศีล มีความประพฤติอย่างอารยชน ย่อมไม่เสียผล เหมือนพืชที่หว่านลงในนาดี ฉะนั้น”

เป็นคนไม่กลัวคน
 
เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ตามปกติมีวิสัยกล้าไม่กลัวคน โดยเฉพาะเรื่องของคุณธรรมและความรู้ ไม่ว่าใครจะยิ่งใหญ่สักเพียงไหน หากท่านทราบโดยตติยัมปิแน่แก่ใจแล้วว่าไม่ดีจริง ท่านไม่ยอมลงให้และไม่คบหาสมาคม เรื่องของความรู้สึกเช่นกันได้ยินมาว่าครั้งหนึ่งท่านได้เป็นกรรมการจัดทำปทานุกรมที่วัดบวรนิเวศวิหารในที่ประชุม ประกอบด้วยคะกรรมการทั้งสงฆ์และฆราวาส ซึ่งล้วนแต่เป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิต บางท่านสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชื่อดังของโลกในที่ประชุมนั้น ติดศัพท์คำหนึ่งซึ่งเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ไม่เห็นพ้องกับกรรมการท่านหนึ่งทำให้ไม่สามารถพิมพ์หนังสือและปิดประชุมได้ ในที่สุดที่ประชุมมีมติให้กรรมการสองท่านแสดงเหตุผลและอ้างหลักฐานความรู้ที่ถูกต้องเมื่อกรรมการท่านนั้นแสดงเหตุผลจบ เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ให้พระมหาจากวัดบวรนิเวศวิหารมาช่วยในที่ประชุมไปหยิบสมุดใบลานเล่มหนึ่งที่ตำหนักจันทร์ในสมุดเล่มนั้นมีลายพระหัตถ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส เมื่อครั้งทรงครองวัดบวรนิเวศวิหารเขียนศัพท์ที่ติดอยู่นั้นตรงกับความเห็นของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เป็นที่ทราบกันดีว่า สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงแตกฉานในภาษาบาลีอย่างหาผู้เปรียบได้ยาก เมื่อเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ อ้างหลักฐานและแสดงเหตุผลที่ถูกต้องโดยถ่องแท้ ที่สุดที่ประชุมจึงต้องยอมตามความเห็นของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เป็นมติเอกฉันท์ ท่านเล่าให้ฟังว่าเมื่อออกจากห้องประชุม เจ้าประคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ สมเด็จพระญาณสังวร เป็นกรรมการรูปหนึ่งเดินมาหาแล้วกล่าวว่า “ เอาบาตรใหญ่ไปข่มเขา” เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ตอบว่า “จำเป็น ถ้าปล่อยไปก็ผิด”

          ความไม่กลัวคนและไม่ยอมลงให้นี้ ท่านว่าทำให้เกิดความขุ่นข้องแก่จิตใจของบุคคลมาไม่น้อย ต่อมาเมื่อเจริญพรรษาและวุฒิธรรมมากยิ่งขึ้น ท่านก็กลับเป็นผู้รู้จักผ่อนผัน ธรรมที่ท่านฝากไว้เป็นคติเมื่อสุดท้ายของสังขาร คือ “เอาชนะคน ต้องยอมแพ้กิเลส เอาชนะกิเลส ต้องยอมแพ้คน และเอาชนะตนได้ในที่สุด”

ไหว้ผู้อ่อนอาวุโสกว่า

เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เป็นพระเถระที่มีเมตตาธรรมสูง ใครที่เคยอยู่ใกล้ชิดท่านจะรู้สึกสงบ ร่มเย็น ยุติความเร่าร้อน นั่นเป็นเหตุแห่งเตตาบารมี ที่ท่านได้บำเพ็ญและแผ่สู่บุคคลรอบข้างให้สัมผัสได้ เมื่อท่านมรณภาพได้พบบันทึกฉบับหนึ่งซึ่งท่านได้เขียนถึงเรื่องเมตตาไว้ว่า “ทำเมตตาในใจให้เหมือนอย่างแม่ที่มีต่อลูก” ความเมตตาของท่านจึงแผ่ไปอย่างไม่เลือกหน้า

          นอกจากนั้นท่านยังเป็นผู้งดงามด้วยมัททวะ คือความอ่อนโยนนุ่มนวลละมุนละไม ไม่ถือตัวแต่ไหนแต่ไรมา โอภาปราศรัยจับใจผู้ฟัง ถึงแม้ท่านจะยิ่งใหญ่ด้วยฐานานุรูปแต่ก็มีคติประจำใจข้อหนึ่งคือ “ยิ่งโตก็ยิ่งเล็ก เป็นเด็กมีคนอุ้ม” ท่านจึงไม่เคยยกตนข่มผู้อื่น มีแต่แสดงความอ่อนน้อมต่อผู้ที่ท่านได้พบปะสนทนา ใครใกล้เข้ามาท่านไหว้ก่อน พระเถระที่มารดน้ำศพท่านองค์หนึ่งกล่าวว่า “ไม่เคยไหว้ท่านทัน ท่านไหว้เราก่อนทุกที” เป็นที่เลื่องลือว่าเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ องค์นี้ไหว้ผู้อ่อนอาวุโสกว่า ท่านอธิบายเรื่องนี้ว่า “การไหว้มี ๒ อย่าง ไหว้ทางธรรม กับไหว้ทางวินัย ทางวินัยผู้น้อยไหว้ผู้ใหญ่ แต่ไหว้ทางประพฤติอัปจายนธรรม คือ ความอ่อนน้อมถ่อมตน” ท่านจึงเป็นที่เคารพนับถืออย่างมากของพระสงฆ์ทั้งธรรมยุตและมหานิกาย                      

ผู้แสดงความคิดเห็น ยันต์ห้า วันที่ตอบ 2011-01-27 10:53:55 IP : 125.24.3.223


ความคิดเห็นที่ 96 (3278492)
avatar
ยันต์ห้า

ความสัมพันธ์กับสมเด็จพระสังฆราช

          ทุกปีหลังวันเข้าพรรษา สมเด็จพระสังฆราชจะเสด็จมาที่กุฏิของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เพื่อถวายสักการะพระรูปและอัฐิของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ หลังจากนั้นจะประทับและทรงมีรับสั่งกับเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ก็มักจะมีเรื่องราวความรู้ต่าง ๆ เล่าถวายเสมอ เรื่องราวเหล่านั้นล้วนเป็นที่พอพระทัยถึงขนาดที่ครั้งหนึ่งทรงออกพระโอษฐ์ว่า “มาที่นี่ได้ความรู้” พระองค์ทรงมีพระบัญชาให้เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ จดเรื่องราวต่าง ๆ ที่เล่าหรือทำสำเนาตามไปถวายที่วัดบวรนิเวศวิหารเสมอ คณะสงฆ์วัดเทพศิรินทราวาสต่างทราบกันดีว่าเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ มีความจงรักภักดีต่อสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช อย่างหาที่เปรียบมิได้ ครั้งหลังสุดที่เจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราชเสด็จมาที่กุฏิ สุขภาพของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯทรุดโทรมลงมาก แต่ก็เตรียมการรับเสด็จอย่างแข็งขันในวันนั้นเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ก้มกราบที่พระบาทของเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราชและกราบทูลว่า “ เกล้า ฯ เคยจงรักฝ่าพระบาทอย่างไร ก็ยังคงจงรักภักดีอยู่อย่างนั้น และจะจงรักภักดีต่อไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่” ทุกครั้งที่เจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราชเสด็จกลับ เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ จะตามไปส่งเสด็จจึงถึงรถพระประเทียบและจะก้มลงกราบที่พระเพลาอย่างนอบน้อม นับเป็นภาพอันงดงามที่ใครได้เห็นก็ยากจะลืม             

เคร่งครัดในพระธรรมวินัย

          เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เป็นผู้เคร่งครัดในพระธรรมวินัย ไม่ยอมประพฤติล่วงพระบัญญัติ แม้ในสิ่งที่ผู้อื่นโดยมากเห็นว่าเล็กน้อย เป็นผู้สำรวมในศีลให้บริสุทธิ์ไม่บกพร่องด่างพร้อยแต่ประการใด จึงไม่มักง่ายในความเป็นอยู่ ท่านอ้างว่าท่านเป็นผู้ช่างสงสัย หากไม่แน่ใจแม้ดอกไม้เพียงกำเดียวท่านก็ขอคืน ท่านปรารภว่าเป็นพระหากโกงเงินแม้เพียงเล็กน้อยก็ปาราชิก ก่อนออกไปประกอบภารกิจน้อยใหญ่เช่นไปสวดมนต์ในวัง ไปเทศน์ที่โบสถ์ แม้แต่ก่อนจำวัดทุกคืน ต้องเรียกพระใกล้ชิดมารับปลงอาบัติย่อ ท่านหมั่นตรวจทานศีลในตนเองอยู่เสมอ ท่านจึงเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่เป็นนิจ ในข้อนี้ต้องนับว่าท่านเป็นผู้ตรงไปตรงมา ไม่มีแง่งอนมายาเป็นปฏิปทาของสงฆ์ข้อ อุชุปฏิปันโน ที่ใช้ความซื่อตรงเป็นเครื่องเพ่งเล็งความประพฤติของตนเองดังที่ท่านเคยปรารภเป็นเชิงสอนว่า “ พระธรรมนั้น ท่านเป็นของซื่อของตรง ผู้ปฏิบัติตามท่าน ต้องเป็นคนซื่อคนตรงด้วย จึงจะไปกับท่านได้” เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เป็นพระที่สมถะ เรียบง่าย ไม่ชอบข้องเกี่ยวกับใคร ยินดีในการอยู่คนเดียวอย่างสงบในชีวิตจึงไม่เคยไปต่างประเทศ ไม่เคยท่องเที่ยว ท่านเป็นผู้สันโดษพอใจในความเป็นอยู่ของตน เป็นผู้มัธยัสถ์ ผ้าสงบที่ใช้ประจำที่กุฏิเก่าจนซีด เป็นผู้ไม่สะสมในห้องจำวัดนอกจากผ้าสามผืน มีเพียงเตียงไม้ตัวเดียวกันผ้าห่มเป็นผ้าปูรองนอนหมอนที่รองศีรษะก็ทำจากผ้าห่มม้วนเป็นก้อน ตั้งแต่หนุ่มจนชราภาพไม่เคยดูทีวีไม่ฟังวิทยุ นิยมในการตีตรองธรรมและความรู้ด้วยตนเองเสมอ เมื่อสุดท้ายของสังขารท่านถูกโรคภัยเบียดเบียนถึงเดินไม่ได้ แต่มักนั่งตรึกธรรมและความรู้ต่าง ๆ ลงในสมุดบันทึกเล่มใหญ่ วัตรปฏิบัติน่าเลื่อมใสน่ากราบไหว้ของท่านข้อนี้เป็นคุณสมบัติอันเด่นชัดของผู้เป็นพระวันรัตโดยแท้

          ท่านเป็นบัณฑิตนักปราชญ์ เป็นนักภาษาศาสตร์โดยคุณวุฒิ ธรรมสุดท้ายที่ท่านให้ติดข้างที่นอนใช้ชำระถอดถอนกล่อมเกลาจิตใจของตนเอง จึงงดงามด้วยภาษาและลึกซึ้งดังความว่า

          “ข้อซึ่งว่ามรรคละกิเลสนั้น ประสงค์เอากิเลสซึ่งควรบังเกิดในขันธ์ทั้ง ๕ มีรูปเป็นต้น ซึ่งเป็นภูมิแห่งวิปัสสนาที่ชื่อว่า ภูมิลัทธูปปันนกิเลส กิเลสมีภูมิคือขันธ์ ๕ อันได้แล้วบังเกิดขึ้น ดังรสแห่งปฐวีธาตุแลอาโปธาตุอันซาบอยู่ในรากไม้ ลำต้น กิ่ง ใบ ดอกผลทั้งปวงฉะนั้น มรรคเมื่อเกิดในขันธสันดานแห่งท่านผู้ใดแล้วขันธสันดานแห่ง (ท่าน) ผู้นั้นได้ต้องสัมผัสแห่งมรรคที่เกิดขึ้นนั้น ขันธสันดานแห่งท่านผู้นั้นชื่อว่าเป็นขันธสันดานอันตาย ด้วยตายแห่งกิเลสแล้ว ไม่สืบผล คือกุศลากุศลต่อไปดังต้นไม้มีดอกและผลอันเป็นพิษ บุรุษผู้หนึ่งตอกต่อยด้วยหนามกระเบนดันอาบด้วยยาพิษในทิศทั้ง ๔  ต้นไม้นั้นเมื่อต้องสัมผัสแห่งยาพิษแล้วก็ตายด้วยรสแห่งปฐวีธาตุ อาโปธาตุซึ่งซึมอาบนั้น แห้งหายไปด้วยสัมผัสยาพิษนั้นแล้ว เป็นต้นไม้ไม่เผล็ดดอกออกผลได้ต่อไปฉะนั้น”

ครั้งหนึ่งเคยมีคนถามท่านว่า ทำอย่างไรจึงเก่ง ท่านแนะนำหลักง่าย ๆ ว่า gradually and steadly “ ค่อย ๆ และสม่ำเสมอ” ท่านเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่าพญาครุฑบินข้ามประเทศมีค่าเท่ามดเดินข้ามประเทศ เมื่อต้องการรู้อะไรต้องดูให้ถึงรากเหง้าและที่สำคัญต้องรู้จักสังเกต ความสังเกตเป็นเหตุให้เกิดปัญญาท่านสรรเสริญคุณค่ามหาศาลของการรู้จักสังเกต

ผู้แสดงความคิดเห็น ยันต์ห้า วันที่ตอบ 2011-01-27 10:55:37 IP : 125.24.3.223


ความคิดเห็นที่ 97 (3278493)
avatar
ยันต์ห้า


มรณภาพ

         ในวาระสุดท้ายของชนม์ชีพ เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ถูกโรคพาธเบียดเบียนทำให้ต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์อยู่เสมอ ครั้งสุดท้ายวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๔๖ เข้ารักษาอาการหายใจไม่ออกเนื่องจากน้ำท่วมปอดคณะสงฆ์วัดเทพศิรินทราวาส ได้จัดแบ่งเวรไปคอยช่วยดูแลปรนนิบัติ นายแพทย์ นิตย์ แสงหล้าแพทย์เจ้าของไข้และคณะแพทย์พร้อมทั้งพยาบาลได้ถวายการพยาบาลจนสุดความสามารถ โดยมีคุณชัด – คุณนุชนารถ โสภณพานิช รับภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลตั้งแต่ต้นจนอวสาน แต่อาการไม่ดีขึ้น วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ จึงต้องเข้ารับการรักษาในห้อง ICU อาการก็มีแต่ทรงกับทรุด แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีสติรับรู้แสดงอาการสวดมนต์ภาวนาตลอดเวลา ที่สุดถึงมรณภาพด้วยอาการอันสงบเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๖  เวลา ๑๙.๒๕ น. คำนวนอายุได้ ๘๘ ปี ๙ เดือน ๘ วัน โดยปีพรรษา ๖๗

         เจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัตเป็นผู้มั่งคั่งในบุญนิธิ ขุมทรัยพ์คือ บุญที่ทำสั่งสมไว้ เป็นปัจจัยส่งผลให้ปรากฎมาในตระกูลแห่งคหบดีผู้มีสัมมาทิฎฐิ เป็นผู้มีสติปัญญาชาญฉลาด ปราศจากความมัวหมอง ผ่องใสด้วยผิวพรรณวรรณะอีกทั้งยังเป็นผู้มั่นคงในสมณปฏิบัติ มีศีลาจารวัตรเป็นที่น่าเลื่อมใส ดำรงองค์ไว้ชอบประกอบด้วยคุณธรรม น้อมนำเป็นนิพัทธกุศล คือต้นทุนสะสมแห่งขุมทรัพย์บุญติดตามเกื้อหนุนเป็นสมบัติส่วนตนอำนวยผลไปทุกชาติภพ ท่านจึงเป็นที่เคารพศรัทธาวางใจได้แห่งสาธุชนว่าเป็นแท่นบูชาแห่งความดีโดยสถานใหญ่ไม่สามารถเป็นล่วงละเมิดดูหมิ่นด้วยเจตนาประการใด ๆ เมื่อสิ้นเจ้าประคุณสมเด็จฯไป จึงเป็นที่ใจหายเสียดายอาลัยและรำลึกของบุคคลทั้งหลายไม่คืนคลาน

         พระวันรัต (นิรนตรมหาเถร) เท่าที่พรรณนามานี้ ชี้ให้เห็นว่าเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้อาศัยธรรมนำไปสู่ความเจริญ คือ ความเป็นผู้มีบุญอันได้ทำแล้วในกาลก่อนเป็น ปุพเพกตปุญญตา อันท่านผู้รู้เรียกว่าวาสนาแรกเริ่มนำมาอยู่ในถิ่นอันสมควร เป็น ปฏิรูเทสวาส คบหาศึกษาวิทยาการกับผู้ทรงคุณวุฒินั้น ๆ เป็น สปปุริสูปสสย คือ คบสัตบุรุษกับทั้งตั้งองค์เองไว้ในที่ชอบประกอบด้วยสุจริตธรรมสัมมาปฏิบัติ เป็น อตตสมมาปณิธิ อีกทั้งยังอาจหาญด้วยธรรมประดุจดังอาวุธ คือ ศรัทธา เป็นผู้เชื่อมั่นในคุณงามความดีปาบบุญคุณโทษ ศีลเป็นผู้บริสุทธิ์ ด้วย การ วาจา ใจ

         พาหุสัจจ เป็นผู้มีความรู้มาก วิริยารัมภะ เป็นผู้ปรารภในความเพียรไตร่ตรองในธรรมและภาคภูมิใจในความเป็นอยู่ของตน ปัญญา เป็นผู้ฉลาดรู้เท่าทันบุคคลและความจริง สิริรวมเป็นจักรธรรม ๔ และเวสารัชชกรณธรรม ๕ กอปรเป็นจักราวุธอันแกล้วกล้า พิทักษ์รักษาองค์ท่านให้นิรัตรายฝ่าหายนะ เป็นจักรสมบัติอันสำคัญพัดผันองค์ท่านไปสู่นิรันตรวัฒนาเจริญรุ่งเรืองสุดวาสนาบารมีไม่มีระหว่างว่างเว้น ด้วยประการฉะนี้

ผู้แสดงความคิดเห็น ยันต์ห้า วันที่ตอบ 2011-01-27 10:57:54 IP : 125.24.3.223


ความคิดเห็นที่ 98 (3278495)
avatar
ยันต์ห้า

ข้อมูล ที่หยิบยกมานี้ ขอเผยแผ่ให้พุทธศาสนิกชนผู้ไฝ่รู้  และ ขอเผยแผ่กิตติคุณ เจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัต นิรันตร์  พระอริยสงฆ์ ผู้ที่ผมคิดว่าบรรลุพระอรหันต์ องค์หนึ่ง ของวัดเทพศิรินทราวาส

ผู้แสดงความคิดเห็น ยันต์ห้า วันที่ตอบ 2011-01-27 11:02:18 IP : 125.24.3.223


ความคิดเห็นที่ 99 (3278496)
avatar
ยันต์ห้า

ข้อมูล สมเด็จพระวันรัต นิรันตร์ จากร้านคุณพี่ศักดิ์  ตลิ่งชัน ครับ  ขออนุญาตและขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น ยันต์ห้า วันที่ตอบ 2011-01-27 11:05:46 IP : 125.24.3.223


ความคิดเห็นที่ 100 (3279556)
avatar
อมตะธรรม

ไปฟังธรรมะของหลวงปู่สาวกโลกอุดร เถิด

ท่านจะได้รู้ได้เห็นของจริงอย่างแจ่มแจงแทงตลอด 

ผู้แสดงความคิดเห็น อมตะธรรม วันที่ตอบ 2011-02-02 12:44:49 IP : 125.26.112.79





Copyright © 2010 All Rights Reserved.