ReadyPlanet.com


เหตุที่พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันมีอายุ 80 ปี
avatar
กองทัพอภิญญา


เหตุที่พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันมีอายุ 80 ปี

เหตุผลที่พระพุทธเจ้าต้องมีอายุ 80 ปี

แต่ว่า ทำไมองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ทรงเคยกล่าวไว้ว่า
ผู้ที่เคยคล่องใน อิทธิบาท 4 ประเภทนี้ สามารถจะอธิษฐานตน ให้อยู่ได้ถึงกัปหนึ่ง
หรือกัลป์หนึ่ง ก็ได้

และองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กลับมา นิพพาน
เมื่อระหว่างอายุของพระองค์ได้ 80 ปี

ตอนนี้ พระอรหันต์ทั้งหลาย ก็มีความสงสัย
แต่ทว่าบรรดาพระอรหันต์ตั้งแต่ปฏิสัมภิทาญาณ ก็ดี ได้อภิญญาหก ก็ดี วิชชาสาม ก็ดี
ท่านทั้งหลายเหล่านี้ ไม่สงสัย รู้ด้วยอำนาจของ อตีตังสญาณ

แต่ทว่า สำหรับพระอรหันต์ขั้นสุกขวิปัสสโก นี้ ต้องสงสัย เพราะว่า ไม่ได้ญานวิเศษ
จึงต้องค้นคว้าคำแนะนำขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์

ในที่สุดก็พบว่า สมเด็จพระนราสภ คือ....
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แทนที่จะมีอายุ 1 กัป อย่างที่กล่าวไว้
แต่ทว่าการที่องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดา ต้องมีอายุ 80 ปี

เหตุผล ก็เป็นมาอย่างนี้ ตามที่องค์สมเด็จพระชินศรี ทรงกล่าวว่า....
อตีเต กาเล ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย....

ในอดีตกาล ตถาคตเสวยพระชาติเป็นหน่อพระบรมโพธิสัตว์
บำเพ็ญบารมีเพื่อจะได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ถอยหลังจากชาตินี้กลับไปหลายพันชาติ เวลานั้นสมเด็จพระบรมโลกนาถ
ทรงบำเพ็ญบารมี ใกล้จะถึง ปรมัตถบารมี

พระวรกายของพระองค์นี้ มีส่วนพิเศษอยู่จุดหนึ่ง คือ....
เท้าทั้งสอง ในอุ้งระหว่างกลางเท้าทั้งสองนี่ มีรูปกงจักรอยู่ด้วย เป็นสีแดง

ในเวลานั้น องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เกิดเป็นลูกคนจน ทำมาหากินอยู่ในป่า
ต่อมาท่านบิดาก็ตาย เหลือแต่มารดาผู้เดียว ท่านก็ปฏิบัติตน เป็นคนประกอบไปด้วย

ความกตัญญูรู้คุณ หาเช้ากินค่ำ หรือหาค่ำกินเช้า นำเอาอาหารมาเลี้ยงมารดาเป็นที่รัก
คือว่าท่านเป็นคนป่า ก็ตัดฟืนขาย เข้าป่าก็แต่เช้า กลับมาจนบ่าย จนเย็น อาบน้ำ อาบท่า กินน้ำ บริโภคอาหาร
เสร็จแล้ว ก็นำฟืนเอาไปขาย ได้เงินมาเท่าไร ก็มามอบให้แก่มารดา
มารดาก็จัดเงินทั้งหลายเหล่านี้ จัดอาหารมาเลี้ยงดูกัน

เป็นอันว่า รายได้ขององค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดา เวลานั้น
ก็เต็มไปด้วยการฝืดเคืองมาก

เจ้ารากษส ขึ้นมาอาละวาด

ท่านกล่าวว่า ในคราวนั้น พระราชามีความลำบาก
ด้วยยักษ์ตนหนึ่ง ที่เขาเรียกว่า “รากษส” นี่มีสภาพเหมือนยักษ์
แต่เป็นยักษ์ที่อยู่ในโพรง และอุโมงค์ใต้ดิน น่ากลัวจะเป็นยักษ์ปลาไหล
เพราะอยู่ในโพรง และใต้ดินมันมีบ่ออยู่

แต่ทว่าทางขึ้น ก็ทำเป็นปล่องขึ้น การขุดอุโมงค์อยู่ใต้ดิน

เจ้า รากษส ตัวนี้ ปรากฏว่า ถึงเวลาฤดูหนึ่ง ถ้าเปรียบเทียบกับเวลา ตรุษสงกรานต์
เป็นงานเกี่ยวกับนักขัตฤกษ์ประจำปี เจ้า รากษส ตัวนี้ ก็ขึ้นมาจับคนเอาไปกินเป็นอาหาร

ทำอย่างนี้ เป็นเวลา 2 – 3 ปี ในแดนไกล
ต่อมา พระราชาทรงทราบจากบรรดาประชาชนทั้งหลาย ว่า....

เจ้า รากษส ขึ้นมาอาละวาด เจ้า รากษส ตัวนี้ขึ้นมาเป็นเวลากาล
ถ้าถึงฤดูนั้น ถึงเดือนนั้น วันนั้น มันก็ขึ้นมาจับคนกินเป็นอาหาร เพื่อเป็นเสบียงกรัง
ทำอย่างนี้ เป็นเวลา 2 – 3 ปี

จนเป็นที่แน่ใจของประชาชนทั้งหลายว่า วันนี้แหละเจ้า รากษส จะขึ้นมาจับคนไปกิน
จึงไปกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ

พระราชา ก็ให้ป่าวประกาศหาคนดีมีฝีมือ ให้ไปสู้กับ เจ้า รากษส
ไปดักอยู่ปากปล่องของ รากษส ที่จะขึ้นมา ถ้า รากษส ขึ้นมา ก็จะฆ่า รากษส ให้ตาย

แต่ว่าบรรดาผู้ฟังทั้งหลาย รากษส มีสภาพเป็นยักษ์ มีความดุร้าย มีกำลังมาก
แทนที่คนทั้งหลายที่รับอาสาพระราชา จะไปฆ่า รากษส
ก็กลายเป็นอาหารของ รากษส อย่างดี

คือ รากษส ไม่ต้องไปหากินไกล จับคนทั้งหลายที่จะไปฆ่าเขา
นำกลับไปกินเป็นอาหาร

ต่อมาพระราชา เห็นว่า คนทั้งหลายไม่สามารถสู้ รากษส ได้
การประกาศให้บรรดาคนที่มีฝีมือทั้งหลาย ภายในขอบเขตของพระราชฐาน
หรือใกล้พระราชฐาน ก็ไม่มีใครรับอาสาไปปราบ รากษส

พระราชาได้ประชุมอำมาตย์ ข้าราชบริพารว่า....
เราไม่สามารถปราบ รากษส นี้ ได้เพียงใด ความเป็นพระราชาของเราก็ไม่อาจจะคงอยู่
เพราะเราไม่สามารถจะให้ความปลอดภัยกับบรรดาประชาชนได้

แล้วอาศัยที่พระราชาพระองค์นี้ ใช้ ทศพิธราชธรรม อันดี เป็นที่รักของปวงชนทั้งหลาย

บรรดาอำมาตย์ ข้าราชบริพารจึงประชุมกันว่า ถ้าหากพวกเราไม่สามารถฆ่า รากษส ได้
พระราชาก็จะสละราชสมบัติ แล้วคนที่มาใหม่ จะดีเท่าองค์นี้ หรือไม่ดี ก็ยังไม่แน่นัก
จึงปรึกษากันว่า จะทำอย่างไรดี จะให้พระราชาครองราชย์ต่อไป

ในที่ประชุม ก็กล่าวกันว่า ทางที่ดีควรประกาศให้บรรดาประชาชนทั้งหลายทั่วประเทศ
ที่มีความสามารถ

เข้าใจตรงกันว่า พระราชามีบุญญาธิการอย่างนี้ และมีความเดือดร้อนอย่างนี้
ราษฎรจนที่ไหน พระองค์ก็ทรงจนด้วย
ราษฎรลำบากที่ไหน พระองค์ก็ทรงลำบากด้วย
หาทางช่วยราษฎรให้เป็นสุข พระราชาอย่างนี้ หาได้ยาก

ถ้ากระไรก็ดี ก็ควรกราบทูลให้พระองค์ทรงทราบ ว่า....
คนในประเทศของเรา ไม่มีเท่าที่เห็น เพราะอยู่ในแดนไกล ในขอบเขตต่าง ๆ มีมากมาย
ควรจะประกาศให้บรรดาประชาชนทั้งหลายที่มีความสามารถ
แต่ไม่มีโอกาสเข้าเฝ้าพระราชา ที่จะรับอาสาฆ่า รากษส
ในที่สุดเขาก็กราบทูลให้พระราชาทรงทราบ แล้วก็ทำตามนั้น

มอบทองคำ เท่าลูกฟัก สำหรับผู้รับอาสา

ต่อมา พระราช ก็ส่งคนไปประกาศว่า ถ้าบุคคลใดสามารถจะฆ่า รากษส ให้ตายได้
ในช่วงแห่งการรับอาสาจะมอบทองคำเท่าลูกฟัก หนักเท่าตัวบุคคลผู้รับอาสา
ให้เป็นทุนสำรองไว้ก่อน ทั้งนี้ ก็เผื่อว่า ไปพลาดพลั้งถูก รากษส ฆ่าตาย
ทางบ้านก็จะได้ใช้ทองคำนี้ จับจ่ายใช้สอย เป็นการประทังชีวิตให้มีความสุขสบายแทนผู้ตาย

ถ้าบุคคลใดฆ่า รากษส ตาย แล้วตัวเองก็ไม่ตาย ทองคำก็ได้เป็นสิทธิ์อยู่แล้ว

แต่เมื่อเวลาที่กลับมาประเทศเขตพระนคร พระราชาจะให้เป็นมหาอุปราช
คือไปมีตำแหน่งรองจากพระราชา

วันนั้น ก็ปรากฏว่า หน่อพระบรมโพธิสัตว์ จะเข้าป่าไปหาฟืน แต่ยังไม่ทันจะเข้า เดินออกจากบ้าน
ก็ได้ยินเสียงประกาศจจจากอำมาตย์ ข้าราชบริพารว่า ถ้าบุคคลผู้ใดรับอาสาฆ่า รากษส ได้
พระราชาจะประทานทองคำเท่าลูกฟัก หนักเท่าตัวคนผู้อาสา เป็นเดิมพัน
แต่ถ้าฆ่า รากษส ไม่ได้ ต้องตายไป ทองคำนี้ก็จะเลี้ยงครอบครัว
และถ้าฆ่าได้ ก็จะแถมรางวัลพิเศษ คือ ให้เป็นมหาอุปราช

หน่อพระบรมโพธิสัตว์ จึงคิดว่า เราเป็นลูกคนเดียวของแม่คนเดียว หาเช้ากินค่ำ
ทรัพย์สมบัติที่หามาได้ ก็พอกินบ้าง ไม่พอกินบ้าง มีความลำบาก

ถ้าหากว่าเราจะยอมเสี่ยงชีวิตของเรา ตายแต่เพียงผู้เดียว
ให้แม่ได้มีโอกาสรับทองคำเท่าลูกฟัก หนักเท่าตัวเรา แม่ก็จะกินอยู่แบบสบาย ๆ
แม้กระทั่งตาย ทองคำก็ยังไม่หมด

เมื่อหน่อพระบรมโพธิสัตว์ กำหนดอย่างนี้แล้ว จึงได้ขันรับอาสา
แล้วก็รับทองคำมามอบให้แก่แม่
ตอนนี้ แม่คัดค้านอย่างหนัก ไม่อยากจะให้ลูกตาย

ในที่สุด ก็ต้องจำยอม เพราะตกลงกับเขาแล้ว จึงได้มอบทองคำให้แม่
ตัวเองก็ไปเฝ้าพระราชาพร้อมกับอำมาตย์
เข้าไปเฝ้าแล้ว....
พระราชาถามถึงผลของความต้องการ เธอสามารถแน่ใจที่จะฆ่า รากษส ได้หรือ
พระโพธิสัตว์ก็บอกว่า มั่นใจ ต่อไปพระราชา ถามว่า เจ้าต้องการทหารเท่าไร
ต้องการอาวุธอะไรบ้าง จะไปฆ่า รากษส

หน่อพระบรมโพธิสัตว์ ก็ตอบว่า “ไม่ต้องการอะไรอะไรทั้งหมด ต้องการฆ่า ด้วยมือเปล่า”

พระราชาก็หนักใจ แต่ว่า เขาขันรับอาสาตามนั้น ก็ต้องปล่อยไป
เขาก็นำไปส่งที่ปล่องของ รากษส

หน่อพระบรมโพธิสัตว์ ขึ้นไปคอยอยู่ประมาณ 2 วัน พระราชาทรงให้ทหารไปเป็นเพื่อน
นำอาหารไปบริโภค ไปคอยอยู่ที่ปากปล่องที่ รากษส จะขึ้น

ต่อมา เมื่อถึงวันนั้น คือวันกำหนดที่ รากษส จะขึ้นมา มีเวลาเป็นประจำ ก็ขึ้นมาพอดี

พอ รากษส ขึ้นมา ไม่ทันจะพ้นปล่อง หัวขึ้นมาพ้นปล่อง
หน่อพระบรมโพธิสัตว์ ยกเท้าขึ้นหวังจะกระทืบ คือจะกระทืบให้ รากษส คอหักตาย

รากษส แหงนหน้าขึ้นมา เห็นอุ้งเท้าของหน่อพระจอมไตรบรมโพธิสัตว์ มีกงจักร
ในระหว่างท่ามกลางฝ่าเท้า ก็คิดว่า คราวนี้เราตายแน่ เราสู้ไม่ได้
เพราะคนนี้ต้องเป็นหน่อพระบรมโพธิสัตว์ เพราะกลางระหว่างเท้า มีกงจักรสีแดง

จึงได้พูดว่า....
ช้าก่อน ท่านอย่าพึ่งฆ่าเรา ท่านนี่เป็นหน่อพระบรมโพธิสัตว์ จะได้ตรัสรู้
เป็นพระพุทธเจ้าในอีกไม่นานนัก เพราะว่ากลางเท้าของท่านมีกงจักร
หากท่านฆ่าเรา เราก็ตาย ถ้าท่านฆ่าเราไซร้ blockquote{ border:1px solid #d3d3d3; padding: 5px; }
ก่อนหน้า1ถัดไป

ความคิดเห็นที่ 1 (1157854)
avatar
อานนท์

ช่วยกรุณาลงต่อให้ครบด้วยครับ ขอขอบพระคุณ

ผู้แสดงความคิดเห็น อานนท์ วันที่ตอบ 2007-11-12 09:08:14 IP : 202.183.133.146


ความคิดเห็นที่ 2 (1159826)
avatar
อานนท์
=ช่วยเสริมต่อให้ครบได้ไหมครับ ดูว่าขาดช่วงสุดท้ายไปนะครับ
ผู้แสดงความคิดเห็น อานนท์ วันที่ตอบ 2007-11-13 17:28:20 IP : 202.183.133.146


ความคิดเห็นที่ 3 (1160082)
avatar
ชนกณน

อ้าวกำลังอ่านเพลินๆจบซะงั้น

ผู้แสดงความคิดเห็น ชนกณน วันที่ตอบ 2007-11-13 21:44:20 IP : 222.123.43.126


ความคิดเห็นที่ 4 (1271231)
avatar
nano

ในพระไตรปิฎก มีบอกไว้นี่คับ หาอ่านใน พุทธประวัติตามแนวปฐมสมโพธิ (พระครูกัลยาณสิทธิวัฒน์) ก็ได้

ถึงเพ็ญเดือน ๓ พรรษาที่ ๔๕ พระยามารเข้าเฝ้า ทูลให้เสด็จปรินิพพาน ทรงรับอาราธนา

พระพุทธเจ้าเสด็จจาริกประกาศพระศาสนาตามแคว้นและเมืองต่าง ๆ เป็นเวลาถึง ๔๕ พรรษา นับตั้งแต่ตรัสรู้เป็นต้นมา พรรษาที่ ๔๕ จึงเป็นพรรษาสุดท้ายของพระพุทธเจ้า และเป็นเวลาที่พระพุทธเจ้าทรงมีพระชนมายุได้ ๘๐ ปี นับแต่ประสูติเป็นต้นมา

พรรษาสุดท้าย พระพุทธเจ้าเสด็จประทับอยู่ที่เวฬุคาม แขวงเมืองไพศาลี ระหว่างพรรษา ทรงพระประชวรเพราะอาพาธหนัก จวนเจียนจะเสด็จนิพพาน พระสงฆ์ทั้งปวงที่ยังเป็นปุถุชน หรือแม้แต่พระอานนท์ องค์อุปัฏฐากก็หวั่นไหว เพราะความตกใจที่เห็นพระพุทธเจ้าประชวรหนัก พระพุทธเจ้าตรัสบอกพระอานนท์ว่า เวลานี้ พระกายของพระองค์ถึงอาการชรามาก มีสภาพเหมือนเกวียนชำรุด ที่ซ่อมแซมด้วยไม้ไผ่

ทรงหายจากอาพาธคราวนี้แล้ว และเมื่อออกพรรษาแล้ว พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระอานนท์ เสด็จไปประทับที่ร่มพฤกษาแห่งหนึ่งในปาวาลเจดีย์ แขวงเมืองไพศาลี เวลากลางวัน พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอภาสนิมิตแก่พระอานนท์ว่า "อิทธิบาทสี่" (ชื่อของธรรมหมวดหนึ่ง มี ๔ ข้อ) ถ้าผู้ใดบำเพ็ญได้เต็มเปี่ยมแล้ว สามารถจะต่ออายุยืนยาวไปได้อีกกำหนดระยะเวลาหนึ่ง

"โอภาสนิมิต" แปลเป็นภาษาชาวบ้านว่า "บอกใบ้" คือ พระพุทธเจ้ามีพระชนมายุจะสิ้นสุดในปีที่กล่าวนี้ จึงทรงบอกใบ้ให้พระอานนท์กราบทูลอาราธนาให้พระพุทธเจ้า ทรงมีพระชนมายุยืนยาวต่อไปอีกระยะหนึ่ง แต่พระอานนท์ท่านนึกไม่ออก ทั้ง ๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงบอกใบ้ถึง ๓ หน

ปฐมโพธิบอกว่า เมื่อพระอานนท์นึกไม่ออกเช่นนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสบอกพระอานนท์ให้ไปนั่งอยู่ที่ใต้ร่มไม้อีกแห่งหนึ่ง แล้วมารก็เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า กราบทูลพระพุทธเจ้าให้เสด็จนิพพาน พระพุทธเจ้าทรงรับคำ แล้วทรงปลงอายุสังขาร

"ปลงอายุสังขาร" แปลเป็นภาษาสามัญได้ว่า "กำหนดวันตายไว้ล่วงหน้า"วันนั้นเป็นวันเพ็ญเดือนสาม พระพุทธเจ้าตรัสว่า นับจากนี้ไปอีก ๓ เดือนข้างหน้า (กลางเดือนหก) พระองค์จะนิพพานที่เมืองกุสินารา

เมื่อพระพุทธเจ้าทรงปลงอายุสังขาร คือ ทรงประกาศกำหนดวันจะเสด็จนิพพานไว้ล่วงหน้าถึง ๓ เดือน พลันก็ยังเกิดอัศจรรย์แผ่นดินไหว ผู้คนที่ได้ทราบข่าวต่าง ๆ เกิดขนลุก ปฐมสมโพธิว่า กลองทิพย์ก็บันลือลั่นไปในอากาศ พระอานนท์ประสบเหตุอัศจรรย์นั้น จึงออกจากร่มพฤกษาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า แล้วทูลถามถึงเหตุเกิดอัศจรรย์ คือ แผ่นดินไหว พระพุทธเจ้าจึงตรัสกับพระอานนท์ว่า เหตุที่จะเกิดแผ่นดินไหวนั้น มี ๘ อย่าง คือ

๑.ลมกำเริบ ๒. ผู้มีฤทธิ์บันดาล ๓. พระโพธิสัตว์ (ผู้มีบุญ) จุติจากสวรรค์ลงมาเกิด ๔. พระโพธิสัตว์ประสูติ ๕. พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ๖. พระพุทธเจ้าตรัสปฐมเทศนา ๗. พระพุทธเจ้าปลงอายุสังขาร ๘. พระพุทธเจ้านิพพาน

พระพุทธเจ้าตรัสบอกพระอานนท์ว่า ที่เกิดแผ่นดินไหวในวันนี้ เกิดจากพระองค์ทรงปลงอายุสังขาร พอได้ฟังดังนั้น พระอานนท์นึกได้คือ ได้สติตอนนี้ จึงจำได้ว่า พระพุทธเจ้าเคยตรัสบอกท่านว่า ธรรมะ ๔ ข้อ ที่เรียกว่า "อิทธิบาท ๔ " คือ ความพอใจ ความเพียร ความฝักใฝ่ และความไตร่ตรอง ถ้าผู้ใดได้บำเพ็ญปฏิบัติให้เต็มเปี่ยมแล้ว ปรารถนาจะให้ชีวิตซึ่งถึงกำหนดดับหรือตาย ได้มีอายุยืนยาวต่อไปอีกระยะหนึ่ง ก็ย่อมทำได้

พอนึกได้เช่นนี้ พระอานนท์จึงกราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้า ให้ทรงใช้อิทธิบาท ๔ นั้น ต่อพระชนมายุยืนยาวต่อไปอีก พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธถึง ๓ ครั้ง ตรัสว่า พระองค์เคยทรงแสดงโอภาสนิมิต (บอกใบ้) ให้พระอานนท์ทูลอาราธนาพระองค์ให้มีพระชนมายุสืบต่อไปอีกก่อนหลายครั้ง และหลายแห่งแล้ว ซึ่งถ้าพระอานนท์นึกได้แล้วทูลอาราธนา พระองค์ก็จะทรงรับคำอาราธนา เพื่อต่อพระชนมายุของพระองค์ออกไปอีก ว่าอย่างสามัญก็ว่า พระพุทธเจ้าตรัสบอกพระอานนท์ว่า "สายเสียแล้ว" เพราะพระองค์ได้ประกาศปลงอายุสังขารว่าจะนิพพานเสียแล้ว

ผู้แสดงความคิดเห็น nano วันที่ตอบ 2007-11-23 11:43:31 IP : 124.121.161.10


ความคิดเห็นที่ 5 (1421118)
avatar
สมพงษ์
ผู้ที่ใช้อิทธิบาท4 คือ หลวงปู่ธรรมเทพโลกอุดร ครับ ยังมีชีวิตเป็นอมตจนทุกวัน
ผู้แสดงความคิดเห็น สมพงษ์ วันที่ตอบ 2008-04-06 13:32:30 IP : 118.172.227.170


ความคิดเห็นที่ 6 (3026210)
avatar
เป็นเว็บที่ดีมากเลยครับ

สนุกมากครับ  ขออนุโมทนาสาธุกับคนเขียนด้วยนะครับ  .........สาธุ

แล้วอยากรู้ว่าพระพุทธเจ้าองค์อดีตปัจจุบันและอนาคตมีใครบางบอกกันน้อยนะครับ ...............เมี่ยว*_*      

 

ผู้แสดงความคิดเห็น เป็นเว็บที่ดีมากเลยครับ วันที่ตอบ 2009-06-23 17:24:39 IP : 58.147.38.31


ความคิดเห็นที่ 7 (3218750)
avatar
ไม่บอก

ได้ความรู้มากเลยครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น ไม่บอก (slipknot1997-f-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2010-05-18 18:26:25 IP : 118.173.78.71


ความคิดเห็นที่ 8 (3276952)
avatar
ย้ี

 งง

ผู้แสดงความคิดเห็น ย้ี วันที่ตอบ 2011-01-17 21:13:00 IP : 182.53.136.116


ความคิดเห็นที่ 9 (3277354)
avatar
pop

ยอดเยี่ยม

ผู้แสดงความคิดเห็น pop วันที่ตอบ 2011-01-20 01:29:58 IP : 118.174.83.88



ก่อนหน้า1ถัดไป


Copyright © 2010 All Rights Reserved.