ReadyPlanet.com


ยมกปาฏิหาริย์
avatar
กองทัพอภิญญา


ยมกปาฏิหาริย์

การแสดงยมกปาฏิหารยืของพุทธองค์นี้จะกระทำได้แต่เฉพาะพระพุทธเจ้าเท่านั้นผู้อื่นไม่สามารถทำได้ ซึ่งมูลเหตุแห่งการทำยมกปาฏิหารย์นี้ก้เกิดมาจากการที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งห้ามภิกษุแสดงปาฏิหารย์ พวกเดียรถีจึงคิดกำเริบได้ใจท้าพระพุทธเจ้าประลองฤทธิ์ ความว่า
ฝ่ายพวกเดียรถีย์ได้ยินว่า " ทราบว่า พระสมณโคดมให้ทำลาย บาตรนั้นแล้ว ทรงบัญญัติสิกขาบทแก่สาวกทั้งหลาย เพื่อต้องการมิให้ทำปาฏิหาริย์ " จึงเที่ยวบอกกันในถนนในพระนครว่า " สาวกทั้งหลายของพระสมณโคดม ไม่ก้าวล่วงสิกขาบทที่ทรงบัญญัติแม้เพราะเหตุแห่งชีวิต.ถึงพระสมณโคดมก็จักรักษาสิกขาบทที่ทรงบัญญัตินั้นเหมือนกัน. บัดนี้ พวกเรา ได้โอกาสแล้ว " แล้วกล่าวว่า " พวกเรารักษาคุณของตน จึงไม่แสดงคุณของตนแก่มหาชนเพราะเหตุแห่งบาตรไว้ในกาลก่อน เหล่าสาวกของพระสมณโคดมแสดงคุณของตนแก่มหาชนเพราะเหตุแห่งบาตร.พระสมณโคดมรับสั่งให้ทำลายบาตรนั้นแล้ว ทรงบัญญัติสิกขาบทแก่เหล่าสาวก เพราะพระองค์เป็นบัณฑิต. บัดนี้ พวกเราจักทำปาฏิหาริย์กับพระ-สมณโคดมนั่นแล. "
ซึ่งการทำยมกปาฏิหาริมีลักษณะดังนี้
พระศาสดาทรงนิรมิตจงกรมแก้วในอากาศ. ที่สุดด้านหนึ่งของ
จงกรมนั้น ได้มีที่ขอบปากจักรวาลด้านปาจีนทิศ. ด้านหนึ่งได้มีที่ขอบปาก
จักรวาลด้านปัศจิมทิศ. พระศาสดา เมื่อบริษัทมีประมาณ ๓๖ โยชน์
ประชุมกันแล้ว. ในเวลาบ่ายเสด็จออกจากพระคันธกุฎี ด้วยทรงดำริว่า
"
บัดนี้เป็นเวลาทำปาฏิหาริย์ " แล้ว ได้ประทับยืนที่หน้ามุข."

ญาณในยมกปาฏิหาริย์ของพระตถาคตเป็นไฉน ? ในญาณนี้
พระตถาคตทรงทำยมกปาฏิหาริย์ ไม่ทั่วไปด้วยพวกสาวก; ท่อไฟพลุ่ง
ออกแต่พระกายเบื้องบน, สายน้ำไหลออกแต่พระกายเบื้องล่าง; ท่อไฟ
พลุ่งออกแต่พระกายเบื้องล่าง, สายน้ำไหลออกแต่พระกายเบื้องบน; ท่อ
ไฟพลุ่งออกแต่พระกายเบื้องหน้า, สายน้ำไหลออกแต่พระกายเบื้องหลัง;
ท่อไฟพลุ่งออกแต่พระกายเบื้องหลัง, สายน้ำไหลออกแต่พระกายเบื้อง
หน้า; ท่อไฟพลุ่งออกเเต่พระเนตรเบื้องขวา, สายน้ำไหลออกแต่พระเนตร
เบื้องซ้าย; ท่อไฟพลุ่งออกแต่พระเนตรเบื้องซ้าย, สายน้ำไหลออกแต่
พระเนตรเบื้องขวา; ท่อไฟพลุ่งออกแต่ช่องพระกรรณเบื้องขวา, สายน้ำ
ไหลออกแต่ช่องพระกรรณเบื้องซ้าย; ท่อไฟพลุ่งออกแต่ช่องพระกรรณ
เบื้องซ้าย; สายน้ำไหลออกแต่ช่องพระกรรณเบื้องขวา, ท่อไฟพลุ่งออก
แต่ช่องพระนาสิกเบื้องขวา; สายน้ำไหลออกแต่ช่องพระนาสิกเบื้องซ้าย;
ท่อไฟพลุ่งออกแต่ช่องพระนาสิกเบื้องซ้าย, สายน้ำไหลออกแต่ช่องพระ-
นาสิกเบื้องขวา; ท่อไฟพลุ่งออกแต่จะงอยพระอังสาเบื้องขวา, สายน้ำไหล
ออกแต่จะงอยพระอังสาเบื้องซ้าย; ท่อไฟพลุ่งออกแต่จะงอยพระอังสาเบื้อง
ซ้าย, สายน้ำไหลออกแต่จะงอยพระอังสาเบื้องขวา; ท่อไฟพลุ่งออกแต่
พระหัตถ์เบื้องขวา, สายน้ำไหลออกแต่พระหัตถ์เบื้องซ้าย; ท่อไฟพลุ่ง
ออกแต่พระหัตถ์เบื้องซ้าย, สายน้ำไหลออกแต่พระหัตถ์เบื้องขวา; ท่อไฟ
พลุ่งออกแต่พระปรัศว์เบื้องขวา; สายน้ำไหลออกแต่พระปรัศว์เบื้องซ้าย;
ท่อไฟพลุ่งออกแต่พระปรัศว์เบื้องซ้าย, สายน้ำไหลออกแต่พระปรัศว์เบื้อง
ขวา; ท่อไฟพลุ่งออกแต่พระบาทเบื้องขวา, สายน้ำไหลออกเเต่พระบาท
เบื้องซ้าย; ท่อไฟพลุ่งออกแต่พระบาทเบื้องซ้าย, สายน้ำไหลออกแต่
พระบาทเบื้องขวา; ท่อไฟพลุ่งออกแต่พระองคุลี, สายน้ำไหลออกแต่
ช่องพระองคุลี; ท่อไฟพลุ่งออกแต่ช่องพระองคุลี, สายน้ำไหลออกจาก
พระองคุลี; ท่อไฟพลุ่งออกแค่ขุมพระโลมาขุมหนึ่ง ๆ. สายน้ำไหลออก
แต่พระโลมาเส้นหนึ่ง ๆ, ท่อไฟพลุ่งออกแต่พระโลมาเส้นหนึ่ง ,
สายน้ำไหลออกแต่ขุมพระโลมาขุมหนึ่ง ๆ. รัศมีทั้งหลาย ย่อมเป็นไป
ด้วยสามารถแห่งสี ๖ อย่าง คือ เขียว เหลือง แดง ขาว หงสบาท ปภัสสร;
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจงกรม. พระพุทธนิรมิตย่อมยืนหรือนั่งหรือสำเร็จ
การนอน; (พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับยืน พระพุทธนิรมิตย่อมจงกรม นั่ง
หรือสำเร็จการนอน, พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่ง พระพุทธนิรมิตย่อม
จงกรม ยืนหรือสำเร็จการนอน; พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสำเร็จสีหไสยา
พระพุทธนิรมิตย่อมจงกรม ยืนหรือนั่ง; พระพุทธนิรนิตจงกรม. พระผู้มี-
พระภาคเจ้า ย่อมทรงยืน ประทับนั่ง หรือสำเร็จสีหไสยาส พระพุทธ-
นิรมิตทรงยืน. พระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมทรงจงกรม ประทับนั่งหรือทรง
สำเร็จสีหไสยาส พระพุทธนิรมิตประทับนั่ง, พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรง
จงกรม ประทับยืน หรือสำเร็จสีหไสยา พระพุทธนิรมิตสำเร็จสีหไสยา.
พระผู้มีพระภาคย่อมทรงจงกรม ประทับยืน หรือประทับนั่ง. นี้เป็น
ญาณในยมกปาฏิหาริย์ของพระตถาคต. "

ก็พระศาสดาเสด็จจงกรมบนที่จงกรมนั้น ได้ทรงทำปาฏิหาริย์นี้
แล้ว. เพื่อจะแสดงเนื้อความนั้น " ท่อไฟย่อมพลุ่งออกแต่พระกายเบื้องบน
ด้วยอำนาจเตโชกสิณสมาบัติของพระศาสดานั้น. สายน้ำไหลออกแต่พระ-
กายเบื้องล่าง ด้วยอำนาจอาโปกสิณสมาบัติ; ท่อไฟพลุ่งออกแต่ที่ ๆ สาย
น้ำไหลออกแล้วอีก, และสายน้ำก็ไหลออกแต่ที่ ๆ ท่อไฟพลุ่งออก
พระสารีบุตรเถระจึงกล่าวว่า " เหฏฺมกายโต อุปริมกายโต. " นัยในบท
ทั้งปวงก็เช่นนี้. ก็ในยมกปาฏิหาริย์นี้ ท่อไฟมิได้เจือปนกับสายน้ำเลย,
อนึ่ง สายน้ำก็มิได้เจือด้วยท่อไฟ, ก็นัยว่าท่อไฟและสายน้ำทั้งสองนี้ พลุ่ง
ขึ้นไปตลอดถึงพรหมโลก แล้วก็ลุกลามไปที่ขอบปากจักรวาล. ก็เพราะ
เหตุที่พระสารีบุตรเถระกล่าวไว้ว่า " ฉนฺน วณฺณาน " พระรัศมีพรรณะ
๖ ประการของพระศาสดานั้น พลุ่งขึ้นไปจากห้องแห่งจักรวาลหนึ่ง ดุจ
ทองคำละลายคว้าง ซึ่งกำลังไหลออกจากเบ้า และดุจสายน้ำแห่งทองคำ
ที่ไหลออกจากทะนานยนต์ จดพรหมโลกแล้วสะท้อนกลับมาจดขอบปาก
จักรวาลตามเดิม. ห้องแห่งจักรวาลหนึ่ง ได้เป็นดุจเรือนต้นโพธิที่ตรึง
ไว้ด้วยซี่กลอนอันคด มีแสงสว่างเป็นอันเดียวกัน.

 

ปางแสดงยมกปาฏิหาริย์ โดยย่อ

เมื่อพระพุทธเจ้าเสวยน้ำปานะเสร็จ ทรงรับสั่งให้นายคัณฑะนำเม็ดมะม่วงไปปลูก เมื่อทรงล้างพระหัตถ์ลงบนปากหลุม เม็ดมะม่วงก็เจริญเติบโตออกผลเต็มต้นเป็นอัศจรรย์ ต้นมะม่วงนั้นมีชื่อว่า คัณฑามพฤกษ์ ตามชื่อของนายคัณฑะ พระพุทธองค์ทรงเนรมิตจงกรมแก้วในอากาศเหนือต้นมะม่วง แล้วเสด็จขึ้นสู่ที่จงกรมนั้น ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ ( อ่านว่า ยะ - มะ - กะ - ปา - ติ - หาน ) หรือการทำปาฏิหาริย์ให้บังเกิดเป็นคู่ ๆ โดยวิธีต่าง ๆ คือ มีท่อน้ำและท่อไฟพุ่งมา จากส่วนต่าง ๆ ของพระวรกายสลับกันไป ท่อไฟที่พุ่งออกมานั้นมีฉัพพรรณรังสี คือ มี ๖ สีสลับกัน เมื่อกระทบกับสายน้ำมีแสงสะท้อนสวยงามมาก ทรงเนรมิตพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมาอีกพระองค์หนึ่ง ทรงให้พุทธเนรมิตแสดงพระอาการสลับกันกับพระพุทธองค์ เมื่อพระพุทธองค์ทรงยืน พระพุทธเนรมิตก็เสด็จจงกรม เมื่อพระพุทธองค์เสด็จจงกรม พระพุทธเนรมิตก็ทรงยืน เมื่อทรงตั้งปัญหาถามพระพุทธเนรมิตก็ตรัสวิสัชนาแก้ สลับกันไป พระพุทธองค์ทรงแสดงปาฏิหาริย์สลับกับการแสดงพระธรรมเทศนา พุทธบริษัททั้งหลายเกิดความเลื่อมใสและได้บรรลุธรรมเป็นจำนวนมาก

 

ตอนพระพุทธเจ้าทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ที่เมืองสาวัตถี แคว้นโกศล ใน วันเพ็ญกลางเดือนแปดก่อนวันเข้าพรรษาหนึ่งวัน ปาฏิหาริย์ คือ การแสดงให้คนเห็นเป็นที่อัศจรรย์ ซึ่งสามัญชนหรือคนที่ไม่เคยเรียนรู้มา ก่อนแสดงไม่ได้ มีตั้งแต่อย่างต่ำ เช่น เล่นกล หรือที่เรียกว่าแสดงปาหี่ ขึ้นไปจนถึงเดินบนน้ำ ดำดิน ลุย ไฟ กลืนกินตะปู ที่พวกฤาษีแสดง ตลอดถึงการเหาะเ***เดินอากาศที่ผู้มีฤทธิ์แสดง ปุถุชนแสดงได้ พระ อรหันต์ผู้ได้ฌาณได้ฤทธิ์ก็แสดงได้ ยมก แปลว่า คู่หรือสอง ยมกปาฏิหาริย์ คือ การแสดงคู่ น้ำคู่กับไฟ คือเวลาแสดง ท่อน้ำ ใหญ่พุ่งออกจากพระกายเบื้องบนของพระพุทธเจ้า เปลวไฟพุ่งเป็นลำออกจากพระกายเบื้องล่าง เป็นต้น ยมกปาฏิหาริย์แสดงได้แต่ผู้เดียว คือผู้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ส่วนพระอรหันตสาวก และ เดียรถีย์ ฤาษีชีไพรแสดงได้แต่ปาฏิหาริย์ธรรมดา เช่น เดินบนน้ำ ดำดิน เป็นต้น สถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ครั้งนี้ คือที่โคนต้นมะม่วง หรือ คัณฑาม พฤกษ์ ในเมืองสาวัตถี มูลเหตุที่ทรงแสดงคือ เพราะพวกเดียรถีย์นักบวชนอกศาสนาพุทธ ท้าพระพุทธ เจ้าแข่งแสดงปาฏิหาริย์ว่าใครจะเก่งกว่ากัน พวกเดียรถีย์ทราบว่าพระพุทธเจ้าจะแสดงยมกปาฏิหาริย์ที่ โคนต้นมะม่วง จึงให้สาวกและชาวบ้านที่นับถือพวกตน จัดการโค่นต้นมะม่วงเสียสิ้น ทราบว่าบ้านใคร สวนใครมีต้นมะม่วงก็ใช้อิทธิพลทางการเงินซื้อ แล้วโค่นทำลายหมด แม้หน่อมะม่วงที่เกิดในวันนั้นก็ทำ ลายไม่เหลือ แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ที่โคนต้นมะม่วงจนได้ โดยมีผู้นำผลมะม่วงสุก มาถวาย ทรงฉันเสร็จแล้ว รับสั่งให้คนปลูกเมล็ดลงดิน แล้วพระองค์ทรงใช้น้ำที่ล้างพระหัตถ์รด ปรากฎ ว่าหน่อมะม่วงโตพรวดพราด แตกกิ่งก้านสูงขึ้นถึง ๕๐ ศอก ผลที่สุดพวกเดียรถีย์พ่ายแพ้ไป

 



ผู้ตั้งกระทู้ กองทัพอภิญญา โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2007-12-03 17:30:51 IP : 58.9.8.172


ก่อนหน้า1ถัดไป

ความคิดเห็นที่ 1 (1288809)
avatar
ทัฬห์ อยู่เกิด

ขอน้อมใจถวายพระพุทธองค์เป็นพุทธบูชา และขอถึงไตรสรณคมน์ตลอดชิวิตครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น ทัฬห์ อยู่เกิด วันที่ตอบ 2007-12-06 07:35:18 IP : 203.153.170.163



ก่อนหน้า1ถัดไป


Copyright © 2010 All Rights Reserved.