ReadyPlanet.com


ขอบอกบุญการจัดงานมหากุศลบูชา พระบรมสารีริกธาตุ ที่อิมแพค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 15-23 ธ.ค. 2550
avatar
อนุสรณ์ คงชาติ


http://www.thairath.co.th/offline.php?section=hotnews&content=70502

จัดงานมหากุศลบูชา พระบรมสารีริกธาตุ [4 ธ.ค. 50 - 03:55]

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 3 ธ.ค. พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ผบ.ตร. นางปฎิมา ตันติคมน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทกันตนา ออกาไนเซอร์ แอนด์ เมเนจแมนท์ จำกัด ร่วมกับอาจารย์วรธนัท อัศกุลโกวิท ร่วมกันแถลงข่าวการจัดงานมหาพุทธบูชาพระบรมสารีริกธาตุโลก (World Buddha Relice EXPO) ที่อิมแพค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 15-23 ธ.ค. 2550

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ในฐานะประธานการจัดงานกล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้เป็นการร่วมมือของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและภาคเอกชน มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อเฉลิมฉลองในปีมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา และเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมีโอกาสสักการะองค์พระบรมสารีริกธาตุขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าและอัครสาวก นับตั้งแต่พระเศียรจดพระบาทที่ครบองค์สรีระมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในโลกรวม 8,800 องค์ ประชาชนทุกคนสามารถเข้าชมงานและกราบไหว้ขอพรจากพระบรมสารีริกธาตุได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ส่วนรายได้จากการร่วมทำบุญซื้อดอกไม้ ธูป เทียน ผ้าไตรจีวร ทั้งหมดนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

อาจารย์วรธนัท อัศกุลโกวิท ที่ปรึกษาการจัดงานกิตติมศักดิ์ กล่าวว่า พระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุ จะอัญเชิญมาจากประเทศอินเดีย ทิเบต และนานาประเทศ นับเป็นปรากฏการณ์ครั้งสำคัญของโลก ที่ได้มีการรวบรวมสรีระส่วนต่างๆ ของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ สาวกของพระพุทธเจ้า 48 พระองค์ ได้แก่พระอัญญาโกณทัญญะ พระนาคเสน พระสีวลี พระโมคคัลลานะ พระอานนท์ พระสารีบุตร พระปะคุละ ฯลฯ ประชาชนชาวไทยจะเห็นถึงความอัศจรรย์ของความหลากหลายของพระบรมสารีริกธาตุองค์ต่างๆ มากที่สุดในประวัติการณ์ และหาดูได้ยาก เช่น พระบรมสารีริกธาตุส่วนสมอง แบ่งออกเป็นพระธาตุส่วนของแกนสมอง กลายสภาพคล้ายอัญมณี 8 สี พระธาตุส่วนเนื้อสมอง กลายสภาพเป็นพระธาตุขนาดเล็ก สีขาวเหลือบทองคล้ายมุก รวมทั้งพระธาตุส่วนกะโหลกศีรษะ พระธาตุหัวใจ หลอดเลือด หัวใจ และพระบรมสารีริกธาตุพระโลหิต 6 สี พระธาตุส่วนน้ำเหลือง นอกจากนี้ ภายในงานยังมีองค์พระโพธิสัตว์ กวนอิมพันมือ ที่ทำมาจากไม้กฤษณา ซึ่งเป็นไม้มงคลที่มีกลิ่นหอม

สำหรับพระบรมสารีริกธาตุหมายถึงพระธาตุที่เป็นขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นปูชนียธาตุอันทรงคุณค่าอย่างสูงสุดในโลกพุทธศาสนิกชน เกิดจากการถวายพระเพลิงพระสรีระของพระพุทธเจ้า หลังทรงดับขันธ์ ปรินิพพาน โดยพันผ้าและสำลีรอบพระสรีระ 500 ชั้น ก่อนนำขึ้นถวายพระเพลิง ส่วนพระธาตุที่เป็นของพระอรหันตสาวกจะเรียกว่าพระธาตุ หรือพระอรหันตสาวกธาตุ ตามตำนานกล่าวว่า องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเล็งเห็นว่าพระองค์มีเวลาปฏิบัติพุทธกิจเพียง 45 ปี นับว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน ศาสนาของพระองค์ยังไม่แพร่หลายและหมู่สัตว์ทั้งหลายเกิดมา ไม่ทันสมัยพระองค์มีมากนัก หากได้อัฐธาตุของพระองค์ ไปอุปัฏฐากบูชาจะได้บุญกุศลเป็นมาก ทรงอธิษฐานให้ พระบรมสารีริกธาตุของพระองค์แตกย่อยออกเป็น 3 สัณฐาน ยกเว้นธาตุทั้ง 7 ประการคือ กระดูกหน้าผาก 1 (พระนลาฏ) พระเขี้ยวแก้ว 4 และกระดูกไหปลาร้า 2 (พระรากขวัญ) นอกจากนั้น ให้กระจายไปทั่วทุกสารทิศเพื่อยังประโยชน์แก่หมู่สัตว์โลกต่อไป

 


 



ผู้ตั้งกระทู้ อนุสรณ์ คงชาติ โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2007-12-12 18:20:13 IP : 203.170.231.232


ก่อนหน้า1ถัดไป

ความคิดเห็นที่ 1 (1296029)
avatar
อนุสรณ์ คงชาติ

ขออนุโมทนากับทุกท่าน ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น อนุสรณ์ คงชาติ วันที่ตอบ 2007-12-12 18:22:45 IP : 203.170.231.232


ความคิดเห็นที่ 2 (1297023)
avatar
ครรชิต

ขออนุโมทนาด้วยครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น ครรชิต วันที่ตอบ 2007-12-13 16:52:42 IP : 203.144.220.242


ความคิดเห็นที่ 3 (1297853)
avatar
ศุภชัย เตชะวงศ์ไพโรจน์ (เว็บมาสเตอร์)
วันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10870

มหาพุทธบูชา พระบรมสารีริกธาตุ ครบองค์สรีระ ครั้งแรกของโลก


โดย สกุณา ประยูรศุข




คำทำนายจากโหราจารย์ก็ดี โหรหลวงก็ดี ที่ออกมาค่อนข้างเป็นในทางเดียวกันว่า สถานการณ์บ้านเมืองไทยในปีหน้า 2551 จะเกิดวิกฤตในด้านต่างๆ มากกว่าที่เป็นอยู่

คำทำนายนี้ทำให้หลายองค์กร หลายหน่วยงาน คิดแก้ไขผ่อนหนักให้เป็นเบา สร้างความสมานฉันท์สามัคคีเพื่อหาทางดับเหตุร้ายตามคำทำนายที่มี

กรมพัฒนาชุมชน, การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ไทยเบฟเวอเรจ, การบินไทย, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ธ.ก.ส. ฯลฯ ก็เช่นกัน ได้ร่วมจัดงาน "มหาพุทธบูชาพระบรมสารีริกธาตุโลก" หรือ World Buddha Relics Expo ขึ้น ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของโลกที่ครบองค์สรีระที่สุดขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอัครสาวก

โดยมี "อาจารย์วรธนัท อัศกุลโกวิท" อาจารย์ชื่อดังด้านฮวงจุ้ย ปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับพุทธประวัติ เคยเดินทางไปศึกษาหาความรู้จากประเทศทิเบต จีน อินเดีย พม่า มอญ เขมร รวมถึงเรื่องราวของพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุมาเกือบ 50 ปี ในฐานะที่ปรึกษาการจัดงาน เป็นผู้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุครั้งนี้มาจากประเทศทิเบตและอินเดีย รวม 100,000 องค์

อาจารย์วรธนัท บอกเล่าถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงานยิ่งใหญ่ระดับโลกครั้งนี้ ว่า ประการที่หนึ่ง-เพราะเป็นปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงจัดงานนี้เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ประการที่สอง-เนื่องจากปีหน้าสถานการณ์บ้านเมืองไม่ดีขึ้น จึงจัดงานเพื่อช่วยเหลือให้คนพ้นทุกข์พ้นร้อน

"ในปีหน้า 2551 ที่จะมาถึงนี้ เป็นปีที่มีปัญหาและมีความยุ่งยากเกิดขึ้นอย่างรุนแรงกับคนทุกหมู่เหล่าไปตลอดทั้งปี เป็นการยากลำบากและทุกข์อย่างมากที่จะผ่านพ้นห้วงเวลานี้ไปได้ จึงหารือกับบรรดาครูบาอาจารย์ แก้ไขความทุกข์ยากที่จะเกิดขึ้นนี้ คือการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกออกมาให้ประชาชนกราบนมัสการ.." อาจารย์วรธนัทกล่าว

พร้อมกับอธิบายเพิ่มเติม ว่า "ปกติแล้วสิ่งที่ไม่ดีมันจะกระจายกันอยู่ตามทิศต่างๆ ในแต่ละปี จะกระจายใน 3-4 ทิศ แต่ปีหน้ามันจะรวมอยู่ 2 ทิศ คือ ทิศเหนือ กับ ทิศใต้ แล้วดาวที่ไม่ดีรองลงไปก็ยังไปอยู่ที่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ไปครอบครองพื้นที่ของคนที่จะมาเป็นผู้ปกครอง เป็นดาวอิทธิพล หมายความว่าจะทะเลาะตีกัน และดาวที่ไม่ดีอีกตัวจะไปครอบครองพื้นที่ทิศตะวันตก ซึ่งหมายถึงบริวาร ลูกน้อง จะยุแหย่ ยุยง ให้เกิดการตีกัน..

..ฉะนั้น เมื่อเป็นอย่างนี้ประเทศก็เดือดร้อน และยังในด้านอื่นๆ อีก เช่นภัยธรรมชาติ ที่สำคัญที่สุดคือด้านการเงิน ปีหน้าจะแย่มาก..แล้วจะเป็นกันหมดทั่วโลก.."

"การนำพระบรมสารีริกธาตุ-พระธาตุ ออกมาให้คนกราบไหว้บูชาจะเป็นการช่วยให้คนดีขึ้น ให้สถานการณ์ดีขึ้น เช่นเดียวกับที่เวลาเกิดทุกขภัยในครั้งพุทธกาล จะมีการอาราธนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปสวดมนต์ นี่เป็นลักษณะเดียวกัน แต่ในทางฮวงจุ้ยถือว่านี่คือพลังยิ่งใหญ่.."

ดังนั้น งาน "มหาพุทธบูชาพระบรมสารีริกธาตุโลก" จึงเป็นการจัดงานครั้งแรกของโลกที่ครบองค์สรีระที่สุดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและอัครสาวก



ทั้งนี้ เพื่อให้คนไทยมีโอกาสกราบไหว้สักการะเป็นมงคลแก่ชีวิตและครอบครัว ต้อนรับปีหนู

งานดังกล่าวจัดขึ้น 9 วัน ระหว่างวันที่ 15-23 ธันวาคม 2550 ที่ฮอลล์ 9 อิมแพค เมืองทองธานี ประชาชนทุกคนสามารถเข้าชมงาน และกราบไหว้ขอพรจากพระบรมสารีริกธาตุได้โดยไม่เสียค่าเข้าชม

"พระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุที่จะอัญเชิญมาครั้งนี้ ส่วนหนึ่งเดินทางมาจากนานาประเทศ เพื่อนำมาประดิษฐานที่อิมแพค เมืองทองธานี นับเป็นปรากฏการณ์ครั้งสำคัญของโลกที่มีการรวบรวมองค์สรีระส่วนต่างๆ ของพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้าใน 48 พระองค์ มาไว้ในที่เดียวกัน พระอรหันตธาตุที่นำมาเป็นของ อาทิ พระอัญญาโกณฑัญญะ พระนาคเสน พระสีวลี พระโมคัลลานะ พระอานนท์ พระสาลีบุตร พระปะคุละ เป็นต้น ซึ่งหาดูได้ยากที่สุดจริงๆ"

ไม่เฉพาะแต่พระอรหันตธาตุ ของพระอัครสาวกและพระสาวกตามที่อาจารย์เล่าเท่านั้น ที่อัศจรรย์ยิ่งของงานนี้ยังเป็นความหลากหลายของพระบรมสารีริกธาตุองค์ต่างๆ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ไม่อาจหาดูได้จากที่ไหนมาก่อน

อาทิ พระบรมสารีริกธาตุส่วนสมอง ซึ่งจะแบ่งออกเป็น พระธาตุส่วนของแกนสมอง ซึ่งได้กลายสภาพคล้ายกับอัญมณี 8 สี (แดง ส้ม เหลือง เขียว/ชมพู ฟ้า คราม ม่วง ทอง)

พระธาตุส่วนเนื้อสมอง ซึ่งจะกลายสภาพเป็นพระธาตุขนาดเล็กที่มีสีขาวเหลือบทอง คล้ายไข่มุก รวมถึงพระธาตุส่วนกะโหลกศีรษะ, พระธาตุหัวใจ-หลอดเลือดหัวใจ รวมถึงพระบรมสารีริกธาตุพระโลหิต 6 สี (สีดำ แดง เขียว ส้ม เหลือง ขาว), พระธาตุส่วนน้ำเหลือง

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีองค์พระโพธิสัตว์กวนอิมพันมือ ที่ทำมาจากไม้กฤษณา ซึ่งเป็นไม้มงคลมีกลิ่นหอม อายุกว่า 2,000 ปี ให้กราบไหว้บูชาอีกด้วย

ปฏิมา ตันติคมน์ กรรมการผู้จัดการบริษัท กันตนา ออกาไนเซอร์ แอนด์ เมเนจเมนท์ จำกัด กล่าวว่า กิจกรรมภายในงานครั้งนี้แบ่งออกเป็น 4 โซน บนพื้นที่กว่า 5,000 ตร.ม.

ประกอบด้วยโซนที่ 1 เป็นลานโล่งออกแบบด้วยลวดลายวิจิตรพุทธโบราณ เป็นจุดต้อนรับ ที่เตรียมเครื่องสักการะบูชาไว้พร้อมสำหรับผู้เข้าชมงานที่ต้องการนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ และพระโพธิสัตว์กวนอิมพันมือ

โซนที่ 2 เป็นโซนนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับความเป็นมาของพระบรมสารีริกธาตุ ด้วยเทคโนโลยีทันสมัย ระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้ชมสามารถเลือกค้นรายละเอียดข้อมูลของพระบรมสารีริกธาตุส่วนต่างๆ ได้ตามต้องการ

โซนที่ 3 เป็นส่วนจัดแสดงพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุมากถึง 100,000 องค์ ในบรรยากาศราวกับย้อนเวลาไปเมื่อสมัยพุทธกาล ณ เมืองกุสินารา ขึ้น15 ค่ำ เดือน 6 เวลาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน และทรงมีพระปณิธานจะละไว้ซึ่ง "สรีระ" เพื่อให้สาธุชนได้กราบไหว้บูชา และระลึกถึงพระพุทธคุณ รวมทั้งพระธรรม คำสั่งสอนของพระองค์อย่างใกล้ชิด



โซนที่ 4 เป็นโซนให้ความรู้เกี่ยวกับพุทธประวัติ และการเสด็จของพระบรมสารีริกธาตุไปยังที่ต่างๆ ของโลก ด้วยการแสดงแสง เสียง เลเซอร์ อย่างยิ่งใหญ่ตระการตา โดยเฉพาะในวันที่ 15 ธันวาคม ซึ่งจะเป็นวันเปิดงานอย่างเป็นทางการ จะมีขบวนอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุอย่างยิ่งใหญ่เพื่อไปประดิษฐานในพิธี ณ อิมแพค เมืองทองธานี และพิธีฝ่ายสงฆ์ซึ่งจะนิมนต์พระสงฆ์เจริญพุทธมนต์ 809 รูป

สำหรับเงินรายได้จากการร่วมทำบุญซื้อดอกไม้ ธูป เทียน ผ้าไตรจีวร ทั้งหมดจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ดังนั้น การที่ประชาชนชาวไทยมีโอกาสไปบูชาพระบรมสารีริกธาตุระดับโลกในงานนี้อย่างใกล้ชิด ถือเป็นมงคลข้อหนึ่งในมงคลสูตร 38 ประการ

นับเป็นสิริมงคลในชีวิตยิ่ง



พระบรมสารีริกธาตุ

พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้านั้นเกิดจากการถวายพระเพลิงพระสรีระของพระพุทธองค์ ภายหลังที่ทรงดับขันธ์ปรินิพพาน โดยพันผ้าและสำลีรอบพระสรีระ 500 ชั้น แล้วนำไปใส่ในรางเหล็กด้วยฝาครอบเหล็กอีกที แล้วอัญเชิญลงหีบทอง ขึ้นประดิษฐานบนพระจิตกาธานที่ทำจากไม้หอม แล้วถวายพระเพลิงพระสรีระนั้น จนพระสรีระได้กลายเป็นพระบรมสารีริกธาตุในที่สุด

จากตำนานกล่าวว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเล็งเห็นว่า พระองค์มีเวลาปฏิบัติพุทธกิจเพียง 45 ปี ซึ่งนับว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน ศาสนาของพระองค์ยังไม่แพร่หลาย และหมู่สัตว์ทั้งหลายเกิดมาไม่ทันสมัยพระองค์มีมากนัก

หากได้อัฐธาตุของพระองค์ไปอุปัฏฐากบูชา จะได้บุญกุศลเป็นอันมาก จึงทรงอธิษฐานให้พระบรมสารีริกธาตุของพระองค์ แตกย่อยออกเป็น 3 สัณฐาน ยกเว้นธาตุทั้ง 7 ประการ คือกระดูกหน้าผาก 1 พระเขี้ยวแก้ว 4 และพระรากขวัญ (กระดูกไหปลาร้า) 2 นอกนั้นให้กระจายไปทั่วทุกสารทิศเพื่อยังประโยชน์แก่หมู่สัตว์โลก

พระบรมสารีริกธาตุมีขนาดต่างๆ กัน 4 ขนาด ได้แก่ ขนาดเท่าเมล็ดถั่ว, เมล็ดข้าวสาร, เมล็ดงา และเมล็ดพันธุ์ผักกาด

พระบรมสารีริกธาตุสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ 1.พระบรมสารีริกธาตุที่มีลักษณะเป็นพระธาตุ มักพบในประเทศไทย ศรีลังกา พม่า ลาว จีน 2.พระบรมสารีริกธาตุที่ยังคงมีลักษณะคล้ายกับกระดูกคนทั่วไป พบเฉพาะแต่ในประเทศอินเดียเท่านั้น

พระบรมสารีริกธาตุมีรูปร่างและสีสันต่างๆ กัน มองดูคล้ายอัญมณีขนาดเล็ก มีความมันแวววาว ถ้าเป็นขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารหัก หรือเมล็ดพันธุ์ผักกาด จะมีน้ำหนักเบามากและลอยน้ำได้ จะรวมตัวอยู่ด้วยกันแม้แต่เอาลอยน้ำก็จะเคลื่อนเข้ามารวมตัวกันในที่สุด

ถ้าประดิษฐานเอาไว้ในที่ที่ไม่สมควร พระบรมสารีริกธาตุจะเสด็จหนีหายไปที่อื่น หรือในทางกลับกันถ้าบุคคลใดมีการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ พระบรมสารีริกธาตุจะเสด็จมาเองได้ และเพิ่มจำนวนมากขึ้นได้ สามารถแสดงปาฏิหาริย์ต่างๆ ได้อย่างเป็นอัศจรรย์

พระบรมสารีริกธาตุจะช่วยให้ผู้ครอบครองประสบกับความสุขความเจริญในทุกๆ ด้าน โดยทั่วไปถ้าผู้ครอบครองมีการดูแลปฏิบัติต่อพระบรมสารีริกธาตุอย่างถูกวิธี



พระบรมสารีริกธาตุที่นำออกแสดงครั้งนี้

1.ส่วนที่เป็นแกนสมอง หรือศูนย์จักกระ (ศูนย์แห่งพลัง) จะกลายสภาพไปเป็นลักษณะคล้ายก้อนอัญมณี มีทั้งหมด 8 สี

คือ สีแดง เป็นตัวแทนของจักกระที่ 1 มีชื่อว่า "มูลธารจักกระ" สีส้ม เป็นตัวแทนของจักกระที่ 2 มีชื่อว่า "สวาธิษฐานจักกระ" สีเหลือง เป็นตัวแทนของจักกระที่ 3 มีชื่อว่า "มณีปุระจักกระ" สีเขียวหรือสีชมพู เป็นตัวแทนของจักกระที่ 4 มีชื่อว่า "อนาหะตะจักกระ" สีฟ้า เป็นตัวแทนของจักกระที่ 5 มีชื่อว่า "วิสุทธะจักกระ" สีคราม เป็นตัวแทนของจักกระที่ 6 มีชื่อว่า "อะจะนาจักกระ" สีม่วง เป็นตัวแทนของจักกระที่ 7 มีชื่อว่า "สหัสสะราจักกระ" สีทอง เป็นตัวแทนของจักกระที่มีพลังและความบริสุทธิ์เหนือกว่าจักกระที่ 7 ขึ้นไป

2.ส่วนของเนื้อสมอง กลายสภาพเป็นพระธาตุขนาดเล็กมีสีขาวเหลือบทอง และมีความวาวคล้ายไข่มุก

3.ส่วนของเนื้อสมอง กลายสภาพไปเป็นพระธาตุขนาดเล็กที่มีสีทอง

4.พระบรมสารีริกธาตุส่วนแขนขา

5.พระโลหิตทั้ง 5 มีสีดำ แดง เขียว ส้ม เหลือง และขาว

6.ส่วนประกอบต่างๆ ของร่างกาย อาทิ น้ำเหลือง ส่วนผิวและเนื้อ ส่วนอกและกระดูกอ่อน ส่วนหัวใจ (เป็นส่วนของเส้นเลือดหัวใจ) และส่วนกะโหลกศีรษะ



พระธาตุของอัครสาวก

ได้แก่ พระธาตุพระสาลีบุตร อัครสาวกฝ่ายขวา ผู้เป็นเลิศด้วยปัญญา, พระธาตุโมคคัลลานะ อัครสาวกฝ่ายซ้าย ผู้เป็นเลิศด้วยฤทธิ์

พระธาตุพระอานนท์ สาวกผู้เป็นเลิศในทางเป็นพหูสูต, พระธาตุพระสีวลี สาวกผู้เป็นเลิศด้วยลาภสักการะ, พระธาตุพระมหากัจจายนะ (พระสังกัจจายน์) สาวกผู้เป็นเลิศในการอธิบายธรรมได้อย่างพิสดาร

พระธาตุพระอนุรุทธะ สาวกผู้เป็นเลิศทางตาทิพย์, พระธาตุพระราหุล สาวกผู้เป็นโอรสของพระพุทธเจ้า โดยเป็นผู้มีความว่านอนสอนง่าย มีความกตัญญู

พระธาตุพระนาคเสน เป็นสาวกผู้ที่มีความรู้แตกฉานในพระไตรปิฎก มีวาทศิลป์ดีเลิศ, พระธาตุพระปะคุละ สาวกผู้เป็นฆราวาสมา 80 ปี ถึงได้เข้าอุปสมบท และบรรลุอรหันผลในวันแรกที่เข้าอุปสมบท และมีอายุยืนนานถึง 160 ปี โดยตลอดชีวิตไม่เคยเจ็บป่วยเลยแม้เพียงครั้งเดียว

พระธาตุองคุลีมาล หนึ่งใน 80 สาวกของพระพุทธเจ้า ที่อดทนใช้วิบากกรรม ปฏิบัติธรรมอย่างไม่ลดละตราบจนบรรลุพระนิพพาน



การสักการะนมัสการ

หากได้เข้ากราบไหว้ 1 ครั้ง เป็นบุญและมงคล

หากได้เข้ากราบไหว้ 2 ครั้ง ช่วยนำพาวาสนารุ่งเรือง

หากได้เข้ากราบไหว้ 3 ครั้ง ก่อเกิดบารมีแผ่ไพศาล

หากได้เข้ากราบไหว้ 5 ครั้ง ได้ดั่งใจปรารถนา

หากได้เข้ากราบไหว้ 7 ครั้ง ผู้คิดร้ายเข้าไม่ถึงตัว

หากได้เข้ากราบไหว้ 9 ครั้ง เป็นปิยะสิทธิ และสรรพสิทธิตลอดไป


หน้า 33

ผู้แสดงความคิดเห็น ศุภชัย เตชะวงศ์ไพโรจน์ (เว็บมาสเตอร์) วันที่ตอบ 2007-12-14 08:38:05 IP : 58.8.252.153


ความคิดเห็นที่ 4 (1297856)
avatar
ศุภชัย เตชะวงศ์ไพโรจน์ (เว็บมาสเตอร์)
ผู้แสดงความคิดเห็น ศุภชัย เตชะวงศ์ไพโรจน์ (เว็บมาสเตอร์) วันที่ตอบ 2007-12-14 08:40:34 IP : 58.8.252.153


ความคิดเห็นที่ 5 (1310023)
avatar
นักรบเมืองบาดาล

สาธุ   โมทนาบุญ

ผู้แสดงความคิดเห็น นักรบเมืองบาดาล วันที่ตอบ 2007-12-23 19:29:40 IP : 125.24.218.68


ความคิดเห็นที่ 6 (1320327)
avatar
ศิษย์ธรรม
การบูชาพระบรมสารีริกธาตุก็เพื่อเป็นการระลึกถึงพระบรมศาสดา เพื่อความศรัทธาเลื่อมใสต่อพระองค์ ถ้าบูชาแล้วหวังให้ท่านช่วยดลบันดาลอะไรให้แล้วก็จะเป็นไสยศาสตร์ไป คือ ศาสตร์ของผู้ที่หลับ ดังนั้นต้องบูชาด้วยความเข้าใจอย่างแท้จริงจึงจะเป็นพุทธศาสตร์ คือศาสตร์ของที่ตื่นแล้ว
ผู้แสดงความคิดเห็น ศิษย์ธรรม วันที่ตอบ 2008-01-03 16:10:59 IP : 118.175.62.67



ก่อนหน้า1ถัดไป


Copyright © 2010 All Rights Reserved.