พระธาตุชานหมาก พระธรรมธาตุ หลวงพ่อพระราชพรหมญาณ วัดท่าซุง และพระธาตุเทพนิมิต ตามพระเครื่อง รูปลอยครูบาอาจารย์


พระธาตุชานหมาก พระธรรมธาตุ หลวงพ่อพระราชพรหมญาณ วัดท่าซุง
"นั่นเป็นพุทธบารมีไม่ใช่บารมีอาตมา"... หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ไขปริศนาเหตุใดชานหมาก และเกศาจึงเป็นพระธาตุ
ไม่ช้าวิญญาณก็ออกจากร่าง ร่างกายนี้ก็ ต้องทอดทิ้ง แต่อาศัยที่พระท่านสั่งว่า จงอย่าเผาร่างของเธอ ด้วยเหตุผลก็มีอยู่ว่า ลูกศิษย์มาก จะทะเลาะกันเรื่องกระดูก เรื่องกระดูกนั่นเป็นปัจจัยให้คนทะเลาะกันเยอะแล้ว เอาไปแล้วไม่ได้ทำอะไร ไปวางทิ้งที่บ้าน ไปวางทิ้งไว้ที่วัด ลืมการสนใจ มีหลายอาจารย์แม้แต่กระดูกหลวงพ่อปานเองก็เหมือนกัน เวลาเผาแย่งกันเกือบตาย พอได้ไปแล้วเปล่า ลืม บางคนก็ให้คนอื่นต่อไป แต่เวลาจะเอา แย่งกันทีนี้ ของอาตมา คณะเวลานี้เวลานั้นต่างกัน กำลังใจคนต่างกัน เวลานั้นว่ากันหยุด ขอร้องกันได้ แต่เวลานี้ไม่แน่ใจนักว่าจะว่ากันหยุดขอร้องกันได้ ท่านจึงหาทางป้องกันเรื่องร้ายเกิดขึ้น พระท่านบอกไม่ให้เผา ด้วยการชดเชยของท่าน ท่านก็บันดาลให้ชานหมากเป็นพระธาตุบ้าง บันดาลให้ผมเป็นพระธาตุ บันดาลให้หางพลูเป็นพระธาตุบ้าง ตามที่ปรากฏกับบรรดาท่านพุทธบริษัทแล้ว นี่เป็นพุทธบารมี ไม่ใช่อาตมา ไม่ใช่บารมีของอาตมา....ทั้งนี้เพราะว่าท่านสั่งไม่ให้เผา ถ้าไม่เผาธาตุ กระดูกก็ไม่ปรากฏขึ้น ไม่เป็นที่แย่งกัน.. ฉะนั้นท่านจึงบันดาลให้ ชานหมากก็ดี ผมก็ดี หางพลูก็ดี เป็นพระธาตุขึ้นมา นี่เป็นอำนาจพุทธานุภาพ ไม่ใช่อาตมาเสก ไม่ใช่ความดีของอาตมา เป็นความดีของพระพุทธเจ้าท่าน อันนี้ของใครจะเป็นหรือไม่เป็นก็เป็นเรื่องที่ท่านบูชา และพระท่านสงเคราะห์ จะโทษอาตมาหาว่าลำเอียงก็ไม่ได้ อาตมาไม่ลำเอียง รักเหมือนกันทุกคน เห็นใจทุกคน????." หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง)อุทัยธานี กราบขอบพระคุณที่มา : จากหนังสือ พ่อสอนลูก ปีที่๑ เล่ม ๑ ประจำปี ๒๕๔๖ ปกสีทอง


พระธาตุชานหมาก
ความอัศจรรย์ต่าง ๆ ในพระพุทธศาสนานั้น มักปรากฎให้เห็นอยู่เนือง ๆ เช่น การเหาะเหินเดินอากาศ การย่นระยะทาง การแยกร่างบิณฑบาต เป็นต้น แต่นั่นเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล คือผู้ที่ทำบุญมาร่วมกัน ก็ได้เห็นเป็นการเฉพาะตน... แต่ของที่สามารถพบเห็นและสัมผัสได้ด้วยคนหมู่มากก็มีอยู่ และยืนยงคงทนให้คนขี้สงสัยไปรู้เห็นด้วยตนเอง จะได้ไม่เป็นเรื่องคาใจที่ฟังแต่เขาเล่าว่า แต่อาตมาก็ให้สงสัยว่า มันจะคาใจหนักขึ้น เพราะหาคำตอบไม่ได้มากกว่า...
โบราณท่านว่า คนเลวมันเลวจนเข้ากระดูกดำ อาตมารับฟังมาแต่เด็ก แต่ก็เฉย ๆ มาภายหลังได้พบทั้งพระบรมสารีริกธาตุ และ พระอรหันตธาตุ จำนวนมาก จึงได้คิดว่า ไม่ใช่คนเลวที่เลวจนกระดูกดำเท่านั้น คนดีก็ดีจนกระดูกเป็นแก้วเช่นกัน...
การที่ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เมื่อมรณะแล้วกระดูกจะกลายเป็นพระธาตุหรือไม่
ขึ้นกับปัจจัย ๒ ประการ คือ ๑. อธิษฐานไว้ให้เป็น ท่านต้องการจะทิ้งสัญลักษณ์เอาไว้ ให้คนรุ่นหลังได้กราบไหว้บูชา ก็จะอธิษฐานให้กระดูกเป็นพระธาตุ
๒. พระท่านช่วยสงเคราะห์ เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวกำลังใจของคนหมู่มาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะบันดาลให้กระดูกของท่านนั้น ๆ เป็นพระธาตุ บางท่านอาจจะคิดว่า พระท่านต้องมรณภาพและเผาแล้ว กระดูกถึงจะเป็นพระธาตุ ถ้าท่านคิดเช่นนั้นอาตมาขอบอกว่าคิดผิด เพราะอาตมาเคยพบเห็นมาด้วยตนเองว่า พระธาตุนั้นปรากฏขึ้นได้ แม้ว่าท่านผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบยังมีชีวิตอยู่ ตัวอย่าง คือ หลวงปู่มหาอำพัน (พระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์) วัดเทพศิรินทราวาส เกศาของท่านกลายเป็นไข่มุกเล็ก ๆ สีขาวนวล นับร้อยนับพันองค์ หลวงปู่อนุญาตให้อาตมานำไปเท่าใดก็ได้ แต่อาตมาสำนึกตัวว่าเก็บของดีขนาดนี้ไม่อยู่แน่ จึงไม่ได้นำมาเลย...!
หลวพ่อฤๅษี(พระราชพรหมยาน) วัดท่าซุง เกศาของท่านที่ผู้อื่นเก็บไว้บูชา กลายเป็นพระธาตุ อาตมาไปดูของตัวเองบ้าง เห็นรวมตัวกันเป็นก้อน ที่ยอดบนสุดขมวดปลายแหลมไว้นิดหนึ่ง ตรงยอดแหลมนั่นเองปรากฏพระธาตุอยู่ ๑ องค์... พระธาตุเกศาหลวงพ่อนี้ อาตมามอบให้นัน (นันฑิญา เหลืองถาวรกุล) ไปบูชา พอไปถึงบ้านของนัน ท่านก็แสดงปาฏิหาริย์ให้ดู เป็นแสงระยิบระยับเหมือนกับหิ่งห้อยบินวนเวียนเต็มไปหมดทั้งห้อง...! ส่วนพระธาตุของหลวงปู่-หลวงพ่อต่าง ๆ ที่ปรากฏขึ้นหลังจากเผาแล้ว มีมากมายหลายองค์ ส่วนใหญ่เป็น อัฐิธาตุ(กระดูก) น้อยรายที่เป็น ทันตธาตุ(ฟัน) หรือเป็นเกศาธาตุ(ผม) นอกเหนือยิ่งไปกว่านี้ ยังไม่เคยปรากฏมีมาก่อนในประวัติศาสตร์... แต่กฏทุกกฏย่อมมีข้อยกเว้น บัดนี้ปรากฏว่ามีสิ่งนอกเหนือกว่านั้นกลายเป็นพระธาตุแล้ว
เนื่องจากหลวงพ่อพระราชพรหมยานท่านไม่เคยไว้วางใจตนเองเลย แม้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงพยากรณ์ที่สุดของความดีแล้วก็ตาม... องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงมีรับสั่งว่า เพื่อความมั่นใจในมรรคผลของหลวงพ่อ
พระองค์จะบันดาลให้สิ่งของ ๓ สิ่ง ที่เกี่ยวข้องกับหลวงพ่อเป็นพระธาตุ เพื่อยืนยันในความดี
อย่างแรก ที่เป็นพระธาตุ คือ เกศาของหลวงพ่อ ดังกล่าวแล้ว...
ต่อมาไม่นาน ทางศูนย์พุทธศรัทธาท่าลาน ซึ่งมี คุณชนะ สิริไพโรจน์ เป็นหัวหน้าคณะ ก็แจ้งข่าวมาว่า ชานหมากของหลวงพ่อกลายเป็นพระธาตุแล้ว พวกเราที่พบเห็นต่างอัศจรรย์ใจเหลือที่จะกล่าว... เพราะตั้งแต่โบราณจวบจนปัจจุบัน กล่าวได้ว่าไม่เคยมีมาก่อนเลย ที่สิ่งของซึ่งห่างไกลจากขันธ์ห้าจนปานนี้จะกลายเป็นพระธาตุ พวกเรากราบไหว้บูชาด้วยปิติเหลือขนาด พลางชมความงามอันมหัศจรรย์และจดจำบันทึกไว้ในดวงจิต...
ส่วนที่เป็นพระธาตุแล้วเป็นแก้วสีแดงสดใสเหมือนทับทิม ส่วนที่ยังไม่เป็นก็เป็นสีเขียวของหมากพลูอยู่ บางชิ้นก็เป็นแก้วครึ่งหนึ่งเป็นพลูครึ่งหนึ่ง ดูครึ่งเขียวครึ่งแดง งดงามพิสดารบอกไม่ถูก เห็นปุ๊บก็เชื่อได้เลยว่าของแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์...! ปกติแล้วหลวงพ่อท่านไม่เคยคายชานหมากเลย พอเคี้ยวแหลกท่านจะกลืนลงไปหมด เพื่อรักษาโรคทางท้อง มีคราวเดียวที่คายออกมาและกลายเป็นพระธาตุ ซึ่งท่านบอกว่า “ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงต้องคายเอาไว้...” ต่อมาชานหมากที่ท่านตำแจกก็ดี หางพลูที่ท่านโยนให้ยามฉันหมากก็ดี ต่างกลายเป็นแก้วด้วยกันทั้งนั้น ของที่ห่างไกลหลวงพ่อจนปานนี้ยังกลายเป็นแก้วได้ แล้วดวงจิตที่อยู่ภายในของหลวงพ่อนั้นจะเป็นดวงแก้วที่สว่างไสวถึงปานใดหนอ...?
๓๐ กันยายน ๒๕๓๕ พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
พระธรรมธาตุ หรือ พระธาตุเทพนิมิตร เกิดขึ้นตามพระเครื่อง
พระธาตุเทพนิมิต หมายถึง พระบรมสารีริกธาตุที่เทวดาผู้มีฤทธิ์เดชบันดาลให้เกิดขึ้น มีเทวดารักษาสามารถเปล่งอานุภาพเป็นแสงสีให้เห็นได้เช่นเดียวกับพระธาตุเสด็จ พบได้ตามถ้ำและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ หรือแม้แต่พระเครื่อง มีพุทธานุภาพเสมือนพระบรมสารีริกธาตุองค์จริงทุกอย่าง






ขอบคุณภาพจากกลุ่มพระเครื่อง หลวงพ่อพระราชพรหมญาณ วัดท่าซุง
ภาพหลังคือพระธาตุที่เสด็จจากฐานพระพุทธรูปบูชา สันนิษฐาน เป็นพระบรมสารีริกธาตุ


ขอบคุณภาพจากกลุ่มพระเครื่อง หลวงพ่อพระราชพรหมญาณ วัดท่าซุง
ภาพต่อไปนี้ตามตำรา เรียกพระธาตุเทพนิมิตร หรือเกิดแต่อำนาจของเทวดารักษาพระเครื่องหรือรูปเคารพทำให้เกิด สิ่งที่ดูคล้ายพระบรมธาตุ เพื่อให้ผู้บูชามีกำลังใจตั่งมั่นในการทำความดี





ขอบคุณภาพจากสมาชิก กลุ่มชมรมรักษ์พระบรมธาตุแห่งประเทศไทย
ทีมงาน ชมรมรักษ์พระบรมธาตุแห่งประเทศไทย