สองเงาในมองโกเลียตอนที่ ๒
การติดต่อสื่อสารระหว่างพระลามะกับโมชในช่วงแรก จะพูดคุยกันผ่านเจ้าหน้าที่ท่านหนึ่งในสถานฑูตมองโกเลียประจำประเทศไทย เจ้าหน้าที่ท่านนี้เธอชื่อ คุณลิซ่า คุณลิซ่าช่วยอำนวยความสะดวกให้เพื่อนผมทุกอย่างครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องติดต่อจองตั๋วเครื่องบินให้หรือการส่งหมายกำหนดการต่างๆและจดหมายที่ท่านลามะส่งมาให้ในรูป E-MAIL
ข้อความในจดหมายที่พระลามะองค์นี้เขียนมานั้นเป็นการเขียนผ่าน E-MAIL ของอีกคนหนึ่ง เป็นไปได้ว่าพระลามะองค์นี้ไม่เล่นINTERNET เลยส่งข้อความฝากมาอีกทีหนึ่งพร้อมหมายกำหนดการต่างๆดังนี้
Tuesday 15 -arrival at UB Airport
-check in Doganghaat camp
Wednesday 16 -Bornor Buddhist Cultural Center opening ceremony
-Naadam festical in Bornor
Thursday 17 -Meditation Valley of Mongolian Institute of Buddhist Art
-Moving to UB
-check in the Hotel in UB
-Lunch
-Gigantic Silk Buddha, Vajrapani in Gandan Monastery
-Mongolian Institute of Buddhist Art
-Dinner
Friday 18 -Bakula Rinpoche Pitub Monastery
-Zanabazar Museum
-Lunch
-Zanarbazar Summer Palace Museum
-Choijin Lama Monastery Museum
-Mongolian Traditional Folk show
-Dinner
Saturday 19 -Trelj Tour
-Lunch by Trelj River
-moving to UB
-Shopping
-dinner
Sunday 20 -Moving to Kharakhorum
-lunch at mini desert
-Check in Kharakhorum Tourist camp
Monday 21 -Erdenzuu Monastery Museum
-Shank monastery
-moving to UB
โอ้โหแค่เห็นกำหนดการก็ทำให้ตัวผมอยากไปใจจะขาดอยู่แล้ว แม้ว่าโปรแกรมส่วนใหญ่จะเป็นทัวร์ชมวัดก็ตาม(เดาเอา) แต่มันก็ตอบโจทย์ส่วนหนี่งในเรื่องการผจญภัยของผมนั่นคือ ศิลปวัฒนธรรม ผมเป็นคนที่ชอบดูศิลปะและวัฒนธรรมมากครับเพราะมันสะท้อนถึงความเป็นมา, แนวความคิด และภูมิปัญญาของชนชาตินั้นๆได้เป็นอย่างดี เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่น่าศึกษามากครับ สำหรับผู้ที่สนใจสำหรับผู้ที่ไม่ได้สนใจเรื่องแบบนี้ เพียงแค่มาดูอะไรที่แปลกตา แปลกถิ่นซักครั้งในชีวิตก็ถือว่าคุ้มค่าเหมือนกันนะ
ทริปครั้งนี้ไม่ได้มีแค่ผม 2 คนที่เป็นคนไทยไปร่วมงานครั้งนี้ตามคำเชิญของพระลามะ โมชบอกผมว่าเที่ยวบินที่เราจะไปครั้งนี้มีคนไทยไปด้วย คุณลิซ่าบอกกับโมชว่า บุคคลที่จะไปกับเราในครั้งนี้ด้วยชื่อ คุณกรรณิการ์ ซึ่งเป็นอีกคนหนึ่งที่พระลามะได้เชิญไปร่วมงานด้วยเช่นกัน
ก่อนการเดินทางประมาณอาทิตย์หนึ่ง จู่ๆผมก็มีลางสังหรณ์ประหลาดๆ ตะหงิดๆอยู่ในใจว่าการเดินทางครั้งนี้ของผมกับโมชกำลังจะมีปัญหาเกิดขึ้น แต่ผมก็ไม่อยากจะไปคิดอะไรมากเพราะมันจะทำให้เกิดการกังวลอะไรต่อมิอะไรมากเกินไป วันเวลาผ่านไปได้ 3 วัน จู่ๆผมก็เอะใจอะไรบางอย่างขึ้นมา สิ่งนั้นก็คือ ใกล้เวลาเดินทางแล้วแต่ทำไมทางฝั่งมองโกเลียหรือคุณลิซ่าเองทำไมถึงไม่บอกจุดที่นัดพบและบุคคลที่จะมารับพวกเราเมื่อถึงสนามบินของมองโกเลียเลย ผมจึงบอกให้โมชลองโทรไปถามคุณลิซ่าถึงเรื่องบุคคลที่จะมารับและจุดที่นัดพบของพวกเรา 30 นาทีผ่านไปขณะที่ผมกำลังดูหุ้นดำดิ่งลงสู่ดัชนี 700 จุด โมชก็โทรมาพร้อมกับประโยคที่ทำให้ฝันของผมเกือบจะสลาย
“ด้น! ทางมองโกเลียเค้ายังไม่รู้เลยว่าพวกเราจะไป”
“เฮ้ย อย่ามาอำกันเด่ะ” (รู้ทันนะว่าเป็นมุข)
“ไม่ได้อำ... คุณลิซ่าเข้าใจผิดนึกว่าพวกเราตอบรับคำเชิญผ่านทาง E-MAIL ไปแล้ว”
“อ้าว! คุณลิซ่าไม่ได้ไปบอกทางมองโกเลียต่ออีกทีนึงเหรอ” (ผมเริ่มตกใจ)
“เออ ตอนแรกเราก็เข้าใจอย่างนั้นเหมือนกัน”
“อย่างงี้ก็แสดงว่าต่างคนต่างเข้าใจผิดกันทั้งคู่อ่ะดิ”
คุณพระช่วยพวกเรารู้ล่วงหน้าก่อนการเดินทางแค่ 3 วันเอง และทางพระลามะก็ไม่ทราบด้วยว่ามีพวกเราอีก 2 คนที่จะเดินทางไปด้วย ค่าตั๋วก็จ่ายไปแล้วทำไงดี โอพี่น้องครับ ผมเริ่มกังวลแล้วครับ ไม่ได้กังวลเรื่องค่าตั๋วนะครับ เพราะตั๋วเครื่องบินสามารถทำเรื่อง REFUND ได้ แต่ผมกลัวไม่ได้ไปครับพี่น้อง!!! เพราะความอยากของผมคนเดียวมันเกินร้อยจริงๆ (ครับของผมคนเดียวจริงๆเพราะเจ้าเพื่อนผมรุ้สึกเฉยๆ กับการไปทริปครั้งนี้ อีกทั้งช่วงเวลาที่ไปก็ชนกับงานเข้าพรรษาที่ทางชมรมฯต้องไปจัดนิทรรศการเกี่ยวกับพระธาตุที่ช่อง 3 อาคารมาลีนนท์) ดัชนีราคาหลักทรัพย์ที่ดำดิ่งลงสู่ 700 จุดที่ว่าน่าเศร้าแล้ว แต่ใจผมกำลังเศร้าหมองยิ่งกว่า ด้วยเหตุนี้ผมจึงรีบส่งเมลตอบกลับไปยังคุณคิมว่ามีพวกเราจากชมรมฯอีก 2 คนไปแน่นอน
วันรุ่งขึ้น (วันเสาร์) ผมแวะมาที่บ้านปราโมชเพื่อมาช่วยขนของไปจัดนิทรรศการพระบรมสารีริกธาตุที่อาคารมาลีนนท์ ผมรีบเช็คเมล์ทันทีเพื่อดูว่าคุณคิมได้ตอบกลับมาไหม สุดท้ายก็ยังไม่ได้รับการตอบกลับใดๆ
“ทำไงดีว่ะ ทำไงดีว่ะ” ความกังวลเกิดขึ้นในใจผมมากขึ้นทุกทีๆ
“เออ จริงสิในจดหมายนั้น ท่านลามะได้ทิ้งเบอร์ติดต่อของผู้ประสานงานครั้งนี้ให้นี่หว่า” โชคดีที่ผมนึกขึ้นได้ จึงรีบโทรหาทันที (เสียนาทีล่ะ 21 บาทเลยนะ...ซิก ซิก...T_T. แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ไป)
ผู้ประสานงานท่านนี้ชื่อคุณคิม ตอนแรกผมนึกว่าคุณคิม เป็นเจ้าหน้าที่ในสถานฑูตที่อยู่มองโกเลียและเป็นผู้ชาย แต่คุณเป็นผู้หญิงครับ และเธอเป็นคนเกาหลีด้วย อ้าวแล้วรู้ได้ไงว่าเธอเป็นคนเกาหลี.... อ๋อ เดาจากชื่อครับ และคงเป็นคนเกาหลีที่ไปทำงานในสถานทูตมั้ง
คุณคิมแนะนำตัวว่าตัวเธอไม่ใช่เจ้าหน้าที่ในสถานทูตตามที่ผมเข้าใจ แต่เธอเป็นผู้ช่วยของพระลามะภูริบัด การสนทนาของผมกับคุณคิม ค่อนข้างจะลำบากนิดนึงตรงที่ ผมไม่คุ้นกับสำเนียงของคิมซักเท่าไหร่ หรืออาจจะบอกได้ว่า ลิสเทนนิ่งของผมมันนิ่งเกือบจะสนิทจริงๆ ผมพยายามอธิบายให้คุณคิมฟังว่ามีพวกผมจากทางชมรมฯไปด้วยอีก 2 คนคือมีโมชและผมในฐานะล่ามและเบ๊ส่วนตัว....พูดเล่นครับ....เป็นผู้ช่วยต่างหากแต่จะเป็นล่ามให้ได้ไหมเนี่ยเพราะลิสเทนนิ่งของผมเกือบจะนิ่งสนิทเลย ดังนั้นเพื่อป้องกันการสนทนาที่ผิดพลาดผมจึงบอกให้คุณคิมเช็คเมลดูจะได้เข้าใจในสิ่งที่ผมพูดให้ตรงกัน (เผื่อผมพูดแล้วคุณคิมฟังไม่เข้าใจ ให้เธออ่านน่าจะเข้าใจกว่า)
คุณคิมเปิดเมลอ่านทันที ส่วนผมก็คิดในใจว่า “อ่านเร็วๆซิ อ่านเร็วๆ นาทีละ 21 บาทนะ (งกจริงๆแฮะเรา)” หลังจากที่เธออ่านเสร็จเธอก็บอกกับผมทันทีว่า
“Oh! Don’t worry about interpreter. There are about 7 Thai people join these trips. Don’t worry, don’t worry. They can speak English very well.”
ผมก็นึกในใจว่า เอ....แล้วยังไงล่ะ... มีคนไทยไปอีกประมาณเจ็ดคนที่พูดอังกฤษได้แล้ว ผมไม่จำเป็นต้องไปแล้วหรือไง ผมก็เลยบอกคุณคิมไปว่า 7 คนนั้นเป็นใครพวกผมไม่รู้จัก แต่ตรงนี้มีอีก 2 คนแน่นอน หลังจากที่วางสายได้ซักพัก คุณคิมได้ตอบเมลกลับมา เมื่อผมอ่านแล้วผมแทบจะช็อก เธอเขียนกลับมาซึ่งแปลเป็นไทยว่า
ไม่ต้องห่วงเรื่องล่ามนะค่ะ มีคนไทยที่ไปด้วยอีก 7 คน พวกเขาเหล่านั้นพูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก คุณมีล่ามมากเพียงพอแล้ว ดิฉันไม่ทราบมาก่อนเลยนะค่ะว่าคุณจะมีล่ามาด้วยอีกคน ถ้าหากมีแขกเพิ่มขึ้นมาอีกคน ดิฉันเกรงว่าจะไม่สะดวกเพราะได้จองห้องพักและรถไปแล้ว ขอโทษด้วยเพราะมันสายเกินที่จะเปลี่ยนแปลงแล้ว
ทำไงดีล่ะงานนี้ นี่เราจะไม่ได้ไปมองโกเลียแล้วหรือเนี่ย ผมแปลให้โมชฟังทันที เมื่อโมชฟังแล้วก็อึ้งตามผมด้วยเหมือนกันครับ
“เฮ้ย! ตอนพระลามะมาที่ชมรมฯ ท่านก็ชวนเรา และเราเองก็บอกท่านไปแล้วนี่น่าว่าถ้าเราไป จะต้องมีอีกคนไปด้วยเพราะเราพูดอังกฤษไม่เป็น” โมชพูดขึ้นมาพร้อมความสงสัย
“เอ่อ พี่น้องครับ สหายบอกท่านลามะเมื่อปีที่แล้ว ท่านคงจะจำได้หรอกนะว่าโมชขอเสนอ 2 ที่นั่ง”
เนื่องจากโมชไม่อยากไปคนเดียว คนไทยอีกกลุ่มนึงเป็นใครก็ไม่รู้จัก ดั่งคำพูดที่ว่า หนึ่งคนหัวหาย สองคนเพื่อนตาย ดังนั้นโมชจึงตัดสินใจที่จะไม่ไปเช่นกัน แต่ผมรีบเบรกความคิดของเพื่อนผมทันที
“เฮ้ย โมชยังไงเราก็จะไปว่ะ” ผมยืนกรานอย่างหนักแน่น
“ต่อให้ไม่มีที่นอนให้เราจริง เราก็จะไป แต่เราว่าทางโน้นเค้าคงไม่ปล่อยให้เราหาที่นอนเองหรอกงานนี้ต้องใจกล้าหน้าด้านเท่านั้น”
ด้วยเหตุนี้ผมจึงส่งเมลกลับไปคุณคิมเพื่อบอกว่า ยังไงเรา 2 คนก็จะไป มุขนี้ดูออกจะหน้าด้านเกินไปและรบกวนทางโน้นเกินไปหน่อย แต่อย่างว่าล่ะครับด้านได้ อายอด เกิดมาไม่เคยหน้าด้านอะไรขนาดนี้มาก่อน แต่งานนี้คงต้องขอเลยล่ะครับพี่น้องคร้าบ
โปรดติดตามสองเงาในมองโกเลียตอนที่ 3 เร็วๆนี้
*****