สองเงาในมองโกเลียตอนที่ ๓
ผมนั่งดูการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในวันจันทร์ที่ 14/07/08 ช่างไร้ความตื่นเต้นเสียจริงๆ ความผันผวนของดัชนีก็มีไม่มาก ลูกค้าก็ไม่ค่อยซื้อและขายหุ้นซักเท่าไหร่ ผมรู้สึกว่างงานและเบื่อมาก มากจนกระทั่งผมเผลอหลับคำนับหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วคำนับอีก เนื่องจากผมเป็นคนไม่ทานกาแฟ จึงแก้ปัญหาอาการง่วงนอนด้วยการเดินไปเดินมารอบๆห้องค้า วนไปวนมาจนหัวหน้าผมทักว่า
“อ้าวด้นคืนนี้จะไปมองโกเลียแล้วใช่ไหม ระวังโดนลูกหลงล่ะ”
“ลูกหลงอะไรครับพี่”
“มีประท้วงไม่ใช่เหรอ พี่ดูข่าวในเน็ต เห็นมีเผาตึกด้วย”
“จริงดิพี่”
ผมรีบเดินไปนั่งที่โต๊ะเพื่อหาข่าวการประท้วงในครั้งนี้ผ่าน GOOGLE เมื่อผมอ่านเสร็จจึงทราบว่ามีการประท้วงเลือกตั้งประธานธิบดีและมีประชาชนบางส่วนไม่พอใจผลการเลือกตั้งโดยเชื่อว่ามีการทุจริตการเลือกตั้งเกิดขึ้น แต่ข่าวนี้เกิดขึ้นเมื่อ 2 อาทิตย์ก่อนและเหตุการณ์ตอนนี้ก็สงบลงแล้ว (แหมนึกว่ามองโกเลียปิดประเทศไม่ให้ต่างชาติเข้าประเทศแล้วซะอีก)
ผมและโมชมีกำหนดการออกจากสนามบินเวลาตีหนึ่งครึ่ง พวกเราออกเดินทางด้วยเครื่องบิน AIR CHINA เครื่องบินที่พวกผมนั่งค่อนข้างเก่าเลยทีเดียว ในความรู้สึกผมนั้นผมคิดว่าเครื่องบินลำนี้น่าจะโทรมกว่าเครื่องบินโลวคอสอีกนะ แถวที่นั่งของผมและโมชจะอยู่หลังห้องน้ำตอนกลางของเครื่องบินพอดี ข้อดีคือพวกผมจะมีพื้นที่เหยียดขาได้มากขึ้น ส่วนข้อเสียคือจะมีคนเดินเข้าห้องน้ำตลอดเวลา แถมไม่มีคนสวยมาเข้าห้องน้ำตรงจุดนี้ด้วย(มีแต่คนแก่ เซ็งจิตเลย-_-!) ที่นั่งของผมนั้นจะอยู่ริมทางเดิน ส่วนโมชนั่งตรงกลาง และมีชาวต่างชาติหน้าตาเหมือนคนจีนนั่งอยู่ริมหน้าต่าง
คืนแรกบนเครื่องบินผมนอนไม่ค่อยหลับซักเท่าใด ไม่ใช่เพราะผมเมาเครื่องบินหรือคนที่เดินเข้าห้องน้ำตลอดเวลานะครับ แต่เป็นเพราะเสียงคนคุยกันต่างหากทั้งเสียงพูดคุยกันของคนไทยกับคนจีนที่อึกกระทึกครึกโครมมาก
“เฮ้อทำไงดี นอนไม่ค่อยหลับ เสียงดังชิบเป๋ง” ผมคิดในใจ
“ไหนๆคนบนเครื่องต่างก็จับกลุ่มกันคุยแบบนี้ หาเพื่อนคุยบ้างดีกว่า”
พอผมหันมาทางซ้ายปุ๊ป เจ้าโมชเพื่อนผมก็เข้าสมาหลับทันที แถมเป็นสมาหลับขั้นสูงซะด้วยสิ เสียงรถเข็นพร้อมเสียงอันอ่อนหวานเป็นภาษาจีนที่ผมฟังไม่ออกเลยว่าแอร์โฮสเตสคนนี้พูดว่าอะไร แต่พอผมได้ยินคำว่า “ฉ่าวฟั่น” กับ “เมี่ยนเถี๋ยว” ผมก็รู้ทันทีว่าแอร์โอสเตสท่านนี้ถามว่าจะรับ “ข้าวผัด” หรือ “ก๋วยเตี๋ยว” โชคดีนะเนี่ยที่ผมเพิ่งอ่านหนังสือภาษาจีนและเจอ 2 คำนี้พอดีจึงรู้ความหมาย มีอาหารก็ต้องมีน้ำครับ เธอถามผมว่า “Ni Yao He Shen Me?” (อ่านว่า หนี่ย้าวเฮอเฉินเมอะ) เผอิญผมรู้คำศัพท์แค่คำเดียวคือ “ฉุ่ย” หรือน้ำเปล่า ก็เลยกินแต่น้ำเปล่า (จริงๆแล้วพูดภาษาอังกฤษหรือชี้เอาก็ได้ แต่อยากพูดภาษาจีนอ่ะ เลยพูดคำว่าฉุ่ยซะเลย)
ผมปลุกโมชให้ตื่นจากฌาณสมาหลับขั้นสูงเพื่อรับประทาน “เมี่ยนเถี๋ยว” หรือก๋วยเตี๋ยวแห้งนั่นเอง ถ้าถามว่าอาหารบนสายการบินนี้อร่อยไหม แฮะ แฮะ เอาเป็นว่า กิน กินไปเหอะ สะสมคาร์โบไฮเดรตไว้เพื่อจะได้มีแรงสำหรับเที่ยว ผมเห็นชาวต่างชาติที่นั่งริมหน้าต่างนั่งกิน “ฉ่าวฟัน” หรือข้าวผัดจนหมดเกลี้ยง จากนั้นเขาก็ขอน้ำแข็งกับแอร์โฮสเตสเป็นภาษาอังกฤษ
“อ้าว นี่ไม่ใช่คนจีนนิ สงสัยจะเป็นเกาหลีแน่ๆเลย” ผมคิดในใจ ด้วยความสงสัยผมจึงชวนคุยกับนายคนนั้นซะเลย (อีกจุดประสงค์หนึ่งคือ ผมจะแกล้งโมชไม่ให้นอนเพราะผมต้องคุยข้ามกันไปข้ามกันมา) ปรากฏว่านายคนนั้นเป็นคนมองโกเลีย! อ้าว พวกเรา 2 คนกำลังจะไปมองโกเลียพอดี แล้วมาเจอคนมองโกเลียมานั่งข้างๆแบบนี้ พวกเราก็มีประเด็นในการสนทนาแล้วซิ
ชาวต่างชาติที่นั่งข้างๆโมช ชื่อ บายัน เป็นชาวมองโกเลียแท้แน่นอน นายบายันพาคุณพ่อมารักษาโรคชนิดหนึ่ง(ผมแปลไม่ออกว่าโรคอะไร) ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์และพาครอบครัวมาเที่ยวเมืองไทยด้วย เมื่อพูดถึงโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ สมองผมนึกถึงหุ้น BH หรือหุ้นโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ขึ้นมาทันที หุ้นตัวนี้มีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับผลการดำเนินงานย้อนหลังไป 5 ปี ต้องยอมรับความสามารถทางการตลาดและการรักษาโรคของแพทย์ไทยจริงๆ ที่สามารถดึงดูดให้ชาวต่างชาติเข้ามารักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆในเมืองไทย และมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี ก็เป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมครับที่มีมูลค่าขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกปี อีกทั้งยังช่วยดูดเม็ดเงินต่างชาติให้ GDP ของประเทศเพิ่มขึ้นด้วย
ย้อนกลับมาที่การสนทนาของผมและคุณบายัน เนื่องจากผมยังไม่ค่อยรู้จักสถานที่ต่างๆที่ผมจะไปในมองโกเลียมากนัก ผมจึงยื่นกำหนดการให้คุณบายันดูและสอบถามรายละเอียดถึงสิ่งที่น่าสนใจในแต่ละที่ๆผมจะไปจากสถานที่ทั้งหมดที่ผมจะไปทั้ง 8 วันนั้น คุณบายันดูไปและคิ้วขมวดด้วยสีหน้าที่งงงวย หลังจากที่กวาดสายตาดูสถานที่ต่างๆครบหมดสิ้น คุณบายันรู้จักเพียงแค่ 2 สถานที่เท่านั้น คือ GANDAN MONASTERY และ ERDENZUU MONASTERY ผมไม่รู้สึกแปลกใจเลยที่คุณบายันจะไม่รู้จักสถานที่ที่เหลือ เพราะตัวผมเองก็ยังไม่ค่อยรู้จักสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองไทยมากเช่นกัน อื้อหือ มองโกเลียใหญ่กว่าเมืองไทยตั้ง 4 เท่าการไม่รู้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
เผอิญผมเหลือบเห็นคำว่า NADAAM FESTIVAL ในกำหนดการ จึงถามคุณบายันทันทีว่า NADAMM FESTIVAL คืออะไร คำถามนี้คุณบายันสามารถอธิบายให้ผมฟังอย่างเข้าใจแจ่มแจ้งได้ทันทีว่า NADAMM FESTIVAL คืองานประจำปีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมองโกเลียซึ่งจัดขึ้นทุกเดือนกรกฎาคมเป็นเวลา 3 วัน คำว่า NADAMM แปลว่าการแข่งขันในภาษามองโกเลีย เทศกาล NADAMM ถูกจัดขึ้นมานานหลายศตวรรษแล้ว โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อการแสดงความเคารพต่อเทพต่างที่สถิตอยู่บนภูเขา โดยชาวมองโกเลียจะสวมชุดนักรบโบราณหรือชุดประจำชาติออกมาเดินพาเหรดพร้อมกับพระ ทหาร และนักกีฬา
กีฬาที่ใช้แข่งขันในเทศกาล NADAMM มีอยู่ 3 ชนิดคือ การแข่งขันขี่ม้า ยิงธนู และมวยปล้ำ ชาวมองโกเลียมีความผูกพันกับม้ามาเป็นเวลานานหลายศตวรรษ การใช้ประโยชน์จากม้าของชาวมองโกเลียมีทั้ง ใช้บรรทุกของ ให้คนขี่ และเป็นอาหารอันโอชะทั้งเนื้อและน้ำนมเลยทีเดียว สำหรับการแข่งขันขี่ม้านั้น ม้าแข่งจะถูกแบ่งแยกออกเป็น 6 ชนิด โดยแบ่งตามอายุของม้า เท่าที่คุณบายันทราบ ม้าที่มีอายุประมาณ 2 ปี จะใช้แข่งขันในระยะ 10 ไมล์ (ประมาณ 16 กิโลเมตร) ม้าที่มีอายุประมาณ 7 ปีจะใช้แข่งบนระยะทาง 17 ไมล์ (ประมาณ 28 กิโลเมตร) โดยสนามที่ใช้แข่งจะเป็นทุ่งหญ้าและภูเขาโดยไม่มีเส้นลู่ใดๆ มีแต่เช็คพ๊อยเหมือนแข่งรถแรลลี่เลยครับ ผมตกใจมากเมื่อคุณบายันบอกว่ามีเด็กร่วมการแข่งขันด้วย ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 5 ขวบขึ้นไป
“อื้อหือ ชาวมองโกเลียมีความผูกพันกับม้ามาตั้งแต่เด็กจริงๆ ตอนเรา 5 ขวบทำอะไรอยู่หนอ... อ้อนึกออกแล้ว นิ่งเป็นหลับ ขยับเป็นกินนี่หว่า” ผมคิดในใจ คุณบายันยังเล่าให้ฟังอีกว่า ม้าที่ใช้แข่งสำหรับแทศกาล NADAMM จะถูกฝึกให้วิ่งเวลานานหลายเดือนควบคู่ไปกับการควบคุมอาหาร ม้าแข่งที่ชนะเลิศจะถูกยกย่องให้เป็นจ้าวแห่งม้าแข่งภาษามองโกเลียเรียกว่า “TUMMY EKH” (อยากรู้ไหมครับว่าอ่านยังไง.... ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ เขาเขียนมาให้ดูอย่างนี้)
สำหรับการแข่งขันยิงธนู ผู้แข่งขันจะสวมชุดพื้นเมืองและใช้คันธนูที่ทำมาจากเขาสัตว์และไม้ ส่วนลูกศรทำจากกิ่งไม้และขนแร้ง โดยระยะที่ยิงสำหรับผู้ชายคือ 75 เมตร ส่วนผุ้หญิง 60 เมตร
และสุดท้ายการแข่งขันมวยปล้ำ มวยปล้ำของมองโกเลียจะไม่เหมือน SMACK DOWN หรือ RAW ของอเมริกาเลยนะครับ แต่เป็นมวยปล้ำที่คล้ายๆกับมวยปล้ำของโอลิมปิกมากกว่า กติกาของที่นี่คือการปล้ำด้วยการจับทุ่มลงไปนอนลงกับพื้นเท่านั้นจะไม่มีการใช้มือตบหรือเท้าเตะเป็นอันขาด
แหม ดูเหมือนการสนทนาของผมกับคุณบายันจะถูกคอเหลือเกิน ส่วนโมชเพื่อนรักของผมไม่สามารถนอนหลับได้ เพราะผมจะชวนโมชคุยกับคุณบายันตลอด ตามธรรมเนียมของเพื่อนผมครับ เมื่อเจอคนถูกอกถูกใจเมื่อใด ต้องแจกนามบัตรให้ทุกครั้ง อีกทั้งยังออกปากชวนคุณบายันมาเที่ยวซาฟารีปาร์คของเพื่อนผมในครั้งหน้า ถ้ามาเมืองไทยอีกครั้ง งานนี้นอกจากจะได้เพื่อนใหม่แล้วยังถือโอกาสหาลูกค้าใหม่ไปในตัวด้วย ร้ายจริงๆเพื่อนเรา^^
โปรดติดตามสองเงาในมองโกเลียตอนที่ ๔ เร็วๆนี้นะครับ
*****