สองเงาในมองโกเลียตอนที่๔
สภาพอากาศในเช้าวันแรกที่สนามบินปักกิ่งไม่ค่อยดีนัก เพราะฝนตกพรำๆตลอดเวลา ท้องฟ้าก็ปิด ผมกับโมชบอกลาคุณบายันทันทีที่พวกเราออกจากเครื่องบิน AIR CHINA แม้เราสามคนจะไปมองโกเลียเหมือนกัน แต่พวกผมกับคุณบายันต่อเครื่องบินคนละลำกัน คุณบายันเดินทางต่อด้วยสายการบินมองโกเลียแอร์ไลน์ ส่วนพวกผมนั่ง AIR CHINA เหมือนเดิม
ประเทศไทยยังไม่มีเส้นทางการบิน กรุงเทพ-อูลาบาเตอร์เลยครับ ใครก็ตามที่จะไปมองโกเลียต้องมาเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินปักกิ่งเท่านั้น เวลาที่พวกผมจะต้องขึ้นเครื่องใหม่คือ 7.20 น. ผมและโมชเดินออกมาจากเครื่องบินและมุ่งหน้าไปที่ International transfer counter ก่อน เพื่อขอ boarding pass ใบใหม่ รู้สึก ชิว ชิว ครับตอนนั้น เนื่องจากผมเห็นผู้โดยสารจำนวนมากไปยืนรอต่อคิวกันยาวเหยียดเพื่อทำเรื่องเปลี่ยนเครื่องบินลำใหม่ ผมและโมชจึงเข้าไปทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำนานเป็นพิเศษเพื่อรอเวลาให้คนรอแถวน้อยลง
เมื่อคนรอแถวเริ่มน้อยลงแล้ว ผมและโมชจึงมุ่งหน้าไปที่ international transfer counter ทันที ขณะที่ผมกำลังต่อเดินไปต่อคิว ผมได้ยินผู้หญิงท่านหนึ่งที่เดินสวนกับพวกผมพูดพรึมพรำว่า “เดี๋ยวเราต้องโทรแจ้งที่นู่นแล้วว่า พวกเราตกเครื่องบิน ต้องเดินทางพรุ่งนี้” ผมก็คิดในใจครับว่าช่างน่าสงสารเหลือเกิน มากันเป็นครอบครัวซะด้วย มาเที่ยวทั้งทีต้องมาตกเครื่องบินแบบนี้ ก็หมดสนุกกันเลยซิ ขณะที่ผมกำลังยืนรอคิวเพื่อขอ boarding pass อยู่นั้น ผมแอบได้ยินพนักงานคุยกับผู้โดยสารซึ่งเป็นคิวก่อนผมคุยกัน และผมก็จับใจความได้ว่าเจ้าหมอนี่ก็ตกเครื่องบินเหมือนกัน... โอ้โห ทำไมมีแต่คนตกเครื่องบินเนี่ย น่าสงสารจริงๆ เมื่อถึงคิวผม ผมก็ยื่น passport พร้อมตั๋วเครื่องบิน ผมพยายามจะฟังภาษาจีนที่พนักงานทั้งสองคนคุยกันอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส ซึ่งพูดว่า “€%@$^*€!>....Ming Tian…€#%$&@” ครับทั้งประโยคผมฟังออกอยู่คำเดียวคือคำว่า Ming Tian ซึ่งแปลว่า “พรุ่งนี้” ผมจึงนึกในใจเล่นๆว่า สงสัยสองคนนี้คงจะลาพักร้อนไปเที่ยวกันพรุ่งนี้
เมื่อสองคนนั้นคุยกันเสร็จแล้ว พนักงานท่านหนึ่งก็พูดกับผมเป็นภาษาจีนที่ผมฟังไม่ออกเลย แต่ฟังออกอยู่คำเดียวคือคำว่า Ming Tian อีกแล้ว ผมจึงบอกพนักงานท่านนี้ไปว่า “I don’t understand.” พนักงานท่านนี้จึงตอบกลับมาเป็นภาษาอังกฤษว่า “You’ve delayed flight about half an hour. The flight to Mongolia had left. This is your air ticket for tomorrow.”
ผมตกใจทันทีเมื่อได้ยินประโยคนี้ ทางพนักงานเองก็ตกใจเหมือนกัน อารมณ์ประมาณว่านี่ยังไม่รู้อีกเหรอว่าตกเครื่องบิน ถ้าไม่เชื่อ เอ้านี่นาฬิกา พนักงานท่านนั้นหยิบนาฬิกาขึ้นมาให้ผมดู และตอนนั้นก็เป็นเวลา 8 นาฬิกา....เอาแล้วไงครับพี่น้องนี่เราก็ตกเครื่องบินเหมือนคนอื่นเลยนี่หว่า ทำไงดีล่ะเนี่ย ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีประสบการณ์ตกเครื่องบินระหว่างทางเลย (เกิดมาเคยนั่งเครื่องบินแค่สองครั้งเอง) ทำไงดีเนี่ยยยยยย ตอนนั้นผมล่ก มากๆ อาการงัวเงียที่นอนน้อยกว่ามาตรฐานเมื่อคืนของผมตื่นขึ้นทันที ผมจึงถามพนักงานท่านนั้นว่า พวกเราสองคนจะต้องทำอย่างไงกันต่อ พนักงานท่านนั้นก็บอกว่าให้ไปติดต่อเคาน์เตอร์สายการบิน AIR CHINA บางทีทางสายการบินอาจจะมีโรงแรมให้พักฟรีหนึ่งคืนโดยคุณต้องนั่งรถไฟไป พนักงานท่านนั้นก็ชี้ทางไปทางรถไฟให้ผม ในสมองผมตอนนั้นผมนึกว่าผมต้องไปขึ้นรถไฟที่สถานีรถไฟจริงๆ แต่รถไฟที่พนักงานท่านนั้นหมายถึงคือรถไฟฟ้าที่ต่อเชื่อมระหว่าง terminal (ที่สนามบินนานาชาติปักกิ่งมีรถไฟฟ้าขนส่งผู้โดยสารระหว่างอาคารผู้โดยสารกับอาคารที่เป็นโซน boarding pass แต่ที่สุวรรณภูมิไม่มี ใช้เดินแทน)
ช่วงเวลานั้นผมยอมรับครับว่าผมตื่นตระหนกสุดๆ ทำไม๊ ทำไม การจะมามองโกเลียทั้งทีถึงได้มีแต่อุปสรรคเนี่ย! นอกจากจะต้องเสี่ยงหน้าด้านมาแล้ว กว่าทางมองโกเลียจะรู้ว่าพวกเราจะมาก็รู้ล่วงหน้าแค่ 3 วันเอง พอออกเดินทางก็ดันมาตกเครื่องบินอีก นี่ถ้า AIR CHINA ไม่มีที่พักฟรีให้พวกเราแล้วจะทำยังไงดีเนี่ย เตรียมตังกันมาคนล่ะ 300 ดอล์ล่าร์เอง แล้วเกิดไปถึงมองโกเลียแล้วเราต้องหาที่นอนเองล่ะ....โอ้ว ประสาทจะกิน วิตกจริตเกิดขึ้นทันที
ผมถามโมชว่า “เฮ้ยทำไงดีว่ะโมช แล้วเราจะติดต่อทางโน้นยังไงดีว่ะ กูไม่มีเบอร์คุณคิมด้วยดิ ตรงไหนมีเน็ทใช้บ้างว่ะ จะได้ส่งเมลไป โอ้โหกว่าคุณคิมจะเปิดเมล กว่าเค้าจะตอบกลับ กว่าพวกเราจะได้อ่าน” แต่เพื่อนผมมิได้สนใจในคำถามเหล่านี้เลย แต่กลับบอกว่า “เออ มึงอย่าไปสนใจน่า อยู่ที่นี่หนึ่งวันมึงก็เที่ยวไปเหอะ กูจะไปดูสนามโอลิมปิกรังนก หรือไม่ถ้าไปมองโกเลียมันลำบากมากกูว่า กูกลับเมืองไทยดีกว่า ไปช่วยพี่เจี๊ยบจัดนิทรรศการที่ช่อง3”
“ใจเย็นคร้าบเพ่ เพ่จะไม่ไปเอาค่าตั๋วเครื่องบินหรือคร้าบ ตั้ง 47,800 บาทนะคร้าบ อีกอย่างกูยังอยากไปอยู่คร้าบพี่คร้าบ”
พวกเราเดินมาที่จุดรับสัมภาระจากนั้นก็ไปที่เคาน์เตอร์ AIR CHINA ช่อง 34 เมื่อมาถึงบริเวณเคาน์เตอร์ผมหันมาหาโมชเพื่อจะถามอะไรซักอย่าง แต่ว่า
“อ้าว เฮ้ย โมชมันหายไปไหนว่ะ เวลาอย่างนี้ยังจะมาเดินเล่นอีกหรือเนี่ย” ผมมองซ้ายแลขวา หาโมชอยู่นานซักพักหนึ่ง พอหันมาอีกทีก็เห็นโมชยืนคุยกับคนไทย 3 คนวินาทีนั้นผมรู้ด้วยสัญชาตญาณโดยทันทีว่า 3 ท่านนั้นต้องเป็นคนไทยอีกกลุ่มที่ทางลามะเชิญมาแน่ๆเลย และหนึ่งในนั้นก็เป็นผู้หญิงที่พูดพึมพำตอนเดินสวนกันบริเวณ international transfer counter ผมรีบวิ่งเข้าไปยกมือไหว้ทันทีและผู้หญิงที่พูดพึมพำท่านนั้นก็คือ คุณกรรณิการ์นั่นเอง
คุณอากรรณิการ์รอพวกเราอยู่ที่เคาน์เตอร์ช่อง 34 เพราะรู้ว่ามีคนไทยอีก 2 คนที่มาสายการบินเดียวกัน คุณอาโทรหาคุณคิมทันทีและแจ้งว่าพวกเราทั้งหมด 5 คนตกเครื่องบินต้องอยู่ที่ปักกิ่งหนึ่งวัน หลังจากวางสายโทรศัพท์ปุ๊ป ก็มีสาวสวยหุ่นเพรียวขายาว 2 คน พาพวกเราทั้งหมดขึ้น Taxi เพื่อไปที่พักของสายการบิน
โอ้โห ราวกับเทวดา นางฟ้ามาโปรด เจอคนไทยด้วยกันแล้วอุ่นใจเหลือออออออเกิน ผมถามโมชว่า “เฮ้ย มึงรู้ได้ไงว่ะ ว่าพวกเขาคือคนที่จะไปกับพวกเรา”
“กูรู้ กูมีเซนท์ 55555”
สนามบินนานาชาติปักกิ่งก็เหมือนสนามบินสุวรรณภูมิที่ตั้งห่างออกมากจากเมืองหลวงและมีมอเตอร์เวย์เป็นถนนสายหลัก รถที่นี่วิ่งกันช้ามากครับ เหยียบแค่ 70 กิโลต่อชั่วโมงเอง กฏหมายที่นี่แรงครับ ถ้าใครขับเร็วกว่ากำหนดและถูกจับได้จะถูกปรับหลายหยวนเลยทีเดียว ถึงแม้จะวิ่งไม่ช้าไม่ทันใจวัยรุ่น แต่ผมก็ไม่หงุดหงิดเลยครับเพราะ สบายใจที่ได้เจอคนไทยและดูเหมือนการเดินทางไปมองโกเลียเริ่มราบรื่นขึ้นมาทันที
ติดตามสองเงาในมองโกเลียตอน ๕ ได้เร็วๆนี้นะครับผมและโมชจะพาทุกท่านเที่ยวพระราชวังต้องห้ามไปด้วยกัน
*****