สองเงาในมองโกเลียตอนที่๕
รถแท็กซี่พาพวกเราทั้ง 5 คน มาพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาทีจากสนามบิน ผมและโมชรีบช่วยคุณอาเจริญขนสัมภาระต่างๆในท้ายรถเข้าไปที่ล็อบบี้ของโรงแรมทันทีที่รถแท็กซี่จอดหน้าโรงแรม ชาวจีนส่วนใหญ่จะพูดภาษาอังกฤษได้น้อยมากแม้แต่ชาวจีนที่ทำงานในโรงแรมแห่งนี้ก็พูดภาษาอังกฤษได้น้อยเช่นกัน การมาเยือนมองโกเลียรอบนี้ต้องขอบอกก่อนว่าผมและโมชโชคดีมากๆ เพราะคุณอากรรณิการ์และน้องแก้ว (ลูกสาวของคุณกรรณิการ์)สามารถพูดภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่วราวกับเป็นเจ้าของภาษาเลย ถ้าไม่มีคุณอาและน้องแก้วรับรองว่าผมและโมชใบ้กินแน่ๆ ภาษามือที่ไม่เคยเรียนมาก่อนคงต้องงัดมาใช้แหง๋มๆ
หลังจากผมและโมชอาบน้ำพักผ่อนตามอัธยาศัยเป็นเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง เจ้าพุงน้อยของผมและโมชต่างก็ร้อง “โคร่กๆ” อันเป็นสัญญาณว่าพวกเราหิวแล้วและเนื่องจากเราทั้ง 2 คนพูดภาษาจีนไม่เป็นเลย ดังนั้นคุณอาเจริญ (สามีคุณอากรรณิการ์) จึงพาพวกเราไปกินข้าวในตัวเมือง อ้อ...ผมลืมบอกไปว่าโรงแรมที่พวกผมพักจะอยู่ริมถนนมอเตอร์เวย์ครับไม่ได้อยู่ในเมือง ดังนั้นพวกเราต้องนั่งแท๊กซี่เข้าเมืองกันต่อ รถแท๊กซี่มิเตอร์ที่นี่จะไม่เหมือนบ้านเราครับ ที่เมืองไทยรถแท๊กซี่ราคาเริ่มต้นที่ 35 บาทและคิดเพิ่มตามเวลาที่รถเหยียบเบรกกับระยะทางที่วิ่งซึ่งมีหน่วยเป็นกิโลเมตรใช่ไหมครับ แต่เมืองจีนนั้นผมลองจับเวลาขณะที่รถวิ่งด้วยความเร็ว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงดู ยังไม่ทันถึงนาทีเลยถูกคิดตังไปแล้ว 1 หยวน ผมแค่ชายตามองวิว 2 ข้างทางไม่ถึง 2 นาทีเลย ถูกคิดตังไปแล้ว 3 หยวน เนื่องจากว่าเส้นทางที่รถคันนี้วิ่งผ่านไม่เจอรถติดเลยผมจึงไม่รู้ว่าถ้ารถจอดนิ่งๆจะเสียตังด้วยรึเปล่า
รถแท๊กซี่พาพวกผมมาปล่อยที่สถานีรถไฟใต้ดิน DONG ZHI MEN (อ่านว่าตงจื่อเหมิน) มิเตอร์คิดตังพวกผมที่ 38 หยวน พอผมจ่ายเงินปุ๊ปโชเฟอร์ก็จะกดมิเตอร์ให้พริ๊นท์ใบเสร็จออกมา (อืมมีใบเสร็จให้ด้วยเจ๋งดีแฮะ แต่ถ้ามีแผนที่ GPS แบบเกาหลีด้วยจะยิ่งเจ๋งกว่านี้) คุณอากรรณิการ์พาพวกเรานั่งรถไฟใต้ดินจากสถานี DONG ZHI MEN ไปออกสถานี DAI WANG LU และเนื่องจากปีนี้ประเทศจีนเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิก ทางรัฐบาลจีนจึงจัดโปรโมชั่นพิเศษให้นักท่องเที่ยวและประชาชนขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินด้วยราคา 2 หยวนตลอดสาย (ประมาณเก้าบาทกว่าเอง)
ร้านอาหารจีนที่คุณอากรรณิการ์พาพวกเราไปคลายหิวและดับกระหายคือ ร้าน DIN TAI FENG ครับ (อ่านว่าตินไท่เฟิง) คุณอาบอกว่าร้านนี้เป็นร้านที่ดังมากมีหลายสาขาในเอเชีย ยุโรปและอเมริกา อาหารที่ขึ้นชื่อของร้าน DIN TAI FENG แห่งนี้คือซาลาเปา (MIAN BAO หรือ เมี่ยนเปา) ไส้หมูสับชิ้นเล็กๆขนาดเท่ากับเส้นผ่าศูนย์กลางเท่าเหรียญสิบที่ถูกเสิร์ฟมาพร้อมกับเข่งซาลาเปาร้อนๆ พอเปิดฝาปุ๊ป...โอ้โห ไอน้ำลอยโขมงเลยครับ ซาลาเปาที่นี่ต้องทานตอนร้อนๆเท่านั้น ถ้าหากว่าเราไม่ยอมทานตอนร้อนๆจะมีผู้จัดการร้านเดินมากดดันเพื่อบอกกับลูกค้าว่าต้องกินตอนร้อนๆนะไม่งั้นมีงอน.....ล้อเล่นครับ ทำไมต้องทานตอนร้อนๆเหรอครับ เหตุผลนั้นคุณอากรรณิการ์บอกไว้ว่าซาลาเปาที่นี่ต้องกินตอนร้อนๆเพราะเวลาเคี้ยวซาลาเปาตอนร้อนๆ ไส้หมูสับที่หวานนุ่มละมุ่นลิ้นจะคลายน้ำซุปออกมาเป็นน้ำซุปที่หวานมาก แต่ถ้าปล่อยให้ซาลาเปาเย็นตัวลงน้ำซุปที่อยู่ในใส้หมูสับก็จะระเหยออกมาหมดเลย อีกทั้งซาลาเปาก็จะแข็งตัวด้วย รสชาติก็จะเปลี่ยนไปทันที ส่วนใครที่อยากทานซาลาเปาแบบนี้ ที่เมืองไทยก็มีครับ ที่เชียงการีล่าคิทเช่นและภัตตาคารเชียงการีล่ามีซาลาเปานี้เหมือนกันเวลาเข้าไปทานก็สั่งว่า “เอาเซี่ยวหลงเปาที่หนึ่งครับ!”
ระหว่างทานข้าวพวกผมและคุณอามีโอกาสได้คุยซึ่งกันและกัน จึงทำให้ต่างฝ่ายต่างรู้ว่าทำไมท่านลามะภูริบัดถึงได้รู้จักพวกเราทุกคน (แต่ยกเว้นผมนะ) สำหรับโมชนั้นได้เล่าให้ครอบครัวคุณอาฟังว่าท่านลามะภูริบัดรเคยมาที่ชมรมรักษ์พระบรมธาตุเพื่อขออัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากทางชมรมฯ ไปประดิษฐานณ.สถานที่สำคัญแห่งหนึ่งในประเทศมองโกเลีย และท่านลามะเคยออกปากชวนโมชไว้แล้วว่าจะให้มาร่วมงานสำคัญทางศาสนา (ช่วงวันวิสาขบูชา) แต่ท่านลามะก็มิได้เชิญชวนทั้งโมชและครอบครัวคุณอากรรณิการ์เข้าร่วมงานในช่วงนั้นเพราะที่ประเทศมองโกเลียในช่วงนั้นมีโรคระบาดเกิดขึ้นและอากาศก็หนาวเย็นมาก (โชคดีมากที่เลื่อนนะเนี่ย ไม่งั้นผมคงไม่ได้มาด้วยแล้วเพราะช่วงวันวิสาขบูชาผมกำลังเตรียมตัวสอบคอมพลีเพื่อจบการศึกษาพอดี) ส่วนครอบครับคุณอารู้จักกับท่านลามะเพราะคุณอากรรณิการ์เคยพาท่านลามะหาซื้อผ้าไหมไทยเพื่อนำไปทำภาพทังก้าซึ่งเป็นภาพที่สำคัญภาพหนึ่งเพื่อใช้เฉลิมฉลองงานวันวิสาขบูชาในประเทศมองโกเลีย อีกทั้งคุณอากรรณิการ์ก็เคยมาพบท่านลามะภูริบัดที่ประเทศมองโกเลียมาก่อนแล้ว
หลังจากอิ่มท้องที่ร้าน DIN TAI FENG กันแล้ว ผมและโมชก็ขอแยกตัวกับครอบครัวคุณอาไปเที่ยวพระราชวังต้องห้าม (Palace Museum หรือ Forbidden City) การเดินทางไปพระราชวังต้องห้ามนั้นสะดวกมาก แค่นั่งรถไฟใต้ดินไปเพียง 5-6 สถานีจากสถานี DAI WANG LU เท่านั้นเองก็จะถึง TIAN’AN MEN EAST STATION แล้ว ก่อนจะเข้าไปถึงพระราชวังต้องห้าม นักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องเดินผ่านจัตุรัสเทียนอันเหมินก่อน ซึ่งจะมีรูปประธานเหมาเจ๋อตุงติดไว้หน้าทางเข้าพระราชวัง ที่นี่จะมีทัวร์ของเมืองไทยมาลงค่อนข้างมากโดยไกด์คนไทยจะเดินนำพร้อมโทรโข่งและมีธงชาติไทยขนาดเล็กเสียบไว้ที่หมวกและเดินนำทางพร้อมบรรยายรายะเอียดของสถานที่แห่งนี้ เรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของทัวร์ไทยเลยทีเดียวพราะผมยังไม่เห็นหัวหน้าทัวร์ประเทศอื่นเดินเสียบธงไว้ที่หมวกเหมือนทัวร์บ้านเราครับ แต่วิธีการนี้ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียวเพราะที่นี่มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวเยอะมากๆๆๆแถมสถานที่ก็กว้างมากๆๆๆๆๆๆ วิธีการนี้ช่วยให้ลูกทัวร์สังเกตกลุ่มของตัวเองง่ายขึ้นเพราะถ้าหลงทางกันมีหวังยุ่งแน่ๆ เมื่อผมและโมชเดินผ่านทางเข้ามาปุ๊ป ก็แทบจะละลายปั๊ปเลยทันทีเพราะแดดที่นี่ร้อนมากๆอีกทั้งไม่ค่อยมีร่มเงากำบังแดดเลย
"บริเวณด้านหน้าของพระราชวังต้องห้าม ลานข้างหน้าคือจัตุรัสเทียนอันเหมิน"
พระราชวังต้องห้ามแห่งนี้มีพระราชวังใหญ่อยู่ 3 หลัง โดยหลังแรกเรียกว่า BAO HE DIAN หลังที่สองเรียกว่า ZHONG HE DIAN และหลังสุดท้ายเรียกว่า TAI HE DIAN โดยหลังสุดท้ายเป็นพระราชวังที่ถูกถ่ายทำภาพยนต์หลายเรื่อง เช่น THE LAST EMPEROR เป็นต้น นักท่องเที่ยวที่ต้องการเข้าไปดูทั้ง 3 วังนี้ต้องเสียค่าเข้าชมคนละ 60 หยวน การซื้อตั๋วที่นี่ต้องมือใครยาวสาวได้สาวเอาครับ เพราะบริเวณที่จำหน่ายตั๋วแห่งนี้จะมีชาวจีนนาย ก นาง ข หนู ค จากที่ไหนก็ไม่รู้มารุมกันแย่งซื้อตั๋วทั้งๆที่มีคนรอคิวแถวยาวเหยียดยืนรอซื้อตั๋วเช่นกัน เมื่อถึงคิวของผมก็จะมีพวกลัดคิวมาแย่งซื้อตั๋วหน้าตาเฉย ผมมองหน้าพวกลัดคิวทุกคนอย่างไม่พอใจ แต่เชื่อไหมครับว่าไม่มีใครสนใจผมเลย จ่ายตังเสร็จก็ไปเลย ผมโดนลัดคิวเยอะมากจนผมทนไม่ได้ต้องแย่งพวกนี้จ่ายเงินถึงจะได้ตั๋วทั้งๆที่พวกผมก็มาตามคิวนะเนี่ย
โดยความเห็นส่วนตัวของผม ถ้าจะเที่ยวพระราชวังแห่งนี้แบบเก็บทุกรายละเอียดของประวัติศาสตร์ในทุกๆห้องคงต้องใช้เวลา 2 วันเต็มๆถึงจะเก็บหมดทุกรายละเอียด เพราะพระราชวังแห่งนี้กว้างใหญ่มาก ครอบคลุมพื้นที่ 720,000 ตารางเมตรมีอาคารต่างๆ 800 หลังและ มีห้องทั้งหมด 9,999 ห้อง นอกจากตัววังที่สำคัญ 3 หลังนี้แล้ว พระราชวังต้องห้ามแห่งนี้ยังมีสิ่งก่อสร้างสำคัญโดยรอบ เช่น มหาศาลาประชาคม หอพระสมุด สวนและลานกว้างต่างๆ
"จุดที่ต้องซื้อตั๋วเข้าวังนี้คนจะเยอะมาก ต้องแย่งกันซื้อตั๋วด้วยอ่ะ พอเข้ามาข้างในแล้วจากคนเยอะๆกลายเป็นว่าแทบไม่มีคนมาเดินเลยเพราะทุกคนเลือกที่จะเดินด้านริมของวังมากกว่าที่จะเดินบนลานกว้างซึ่งแดดร้อนมากๆ"
ผมและโมชต่างชอบพระราชวังแห่งนี้ครับ แต่เราสองคนชอบกันคนละแบบ ผมชอบถ่ายรูปกับมุมแปลกๆ และความสวยงามของพระราชวังแห่งนี้ ส่วนโมชชอบดูวัตถุโบราณ และของแปลกๆ ถ้าโมชสนใจไปดูห้องใดก็ตาม เพื่อนผมคนนี้จะไม่เรียกผมเลย พี่แกจะเดินดุ่ยๆคนเดียวเข้าไปเร็วมาก เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่ผมถ่ายรูปครั้งหนึ่งผมจะต้องรีบหันมาเหลียวมองดูว่าโมชเดินไปอยู่ที่ไหนแล้ว เพราะหากเราสองคน คลาดสายตากันแล้วหากันไม่เจอคงไม่สนุกแน่เพราะคนก็เยอะ ทางเดินแต่ละส่วนก็ค่อนข้างคดเคี้ยวด้วย
"แต่ละห้องภายในราชวังแห่งนี้ มีวัตถุโบราณเก็บไว้มากมายครับ อย่างภาพแรกเป็นโต๊ะทำงานของขุนนาง ภาพที่สองเป็นแว่นตาของจักรพรรดิ์องค์สุดท้ายของจีนซึ่งมีพระนามว่าปูยี ภาพที่สามเป็นสมุดบันทึกในสมัยของจักรพรรดิ์ปูยี"
ผมและโมชใช้เวลาเดินอยู่ในวังประมาณ 4 ชั่วโมง พวกเราเดินชมและถ่ายภาพให้มากที่สุดเท่าที่จะเก็บรายละเอียดสำคัญๆได้ (ผมและโมชเดินดูยังไม่ถึง 30 ห้องเลย ขาก็จะลากอยู่แล้ว) บริเวณทางออกของพระราชวังจะมีสวนขนาดใหญ่อยู่ฝั่งตรงข้ามของพระราชวัง สวนแห่งนี้มีชื่อเรียกว่า JING SHAN PARK ซึ่งมีวัดอยู่บนภูเขาด้วย ผมและโมชคลานขึ้นบนภูเขาแห่งนี้แบบหมดสภาพมากๆเพื่อขึ้นไปไหว้พระในวัดและชมวิวของพระราชวังต้องห้ามที่ถูกรายล้อมด้วยตึกสูงอันทันสมัยต่างๆ ส่วนบริเวณด้านล่างของภูเขา หรือบริเวณสวนด้านล่าง จะมีสวนดอกไม้และวังขนาดเล็กอีก 2-3 หลัง
"ภาพวาดจักรพรรดิ์ในสมัยอดีต กับภาพถ่ายของจักรพรรดิ์ปูยีและโต๊ทำงาน ในพระราชวังแห่งนี้มีสวนที่มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า Imperial Garden เป็นสวนที่ถูกประดับตกแต่งด้วยหินทรงแปลกๆ"
ผมและโมชเดินดูโดยรอบสวนแห่งนี้เสร็จประมาณ 1 ทุ่มแต่ท้องฟ้าเวลา 1 ทุ่มที่ปักกิ่งยังก่ะ 5 โมงเย็นบ้านเราเลย (พระอาทิตย์ในฤดูร้อนทางซีกโลกเหนือจะตกช้าครับ) ก่อนจะเดินออกจาก JING SHAN PARK ผมนึกอยากจะถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกดินบนภูเขาซักหน่อย จึงคะยั้นคะยอให้โมชขึ้นไปบนภูเขาเป็นเพื่อนผมอีกรอบ แต่งานนี้เพื่อนผมขอปฏิเสธครับ และถ้าเป็นคนอื่นๆก็คงปฏิเสธด้วยเป็นเรื่องธรรมดา เพราะบันไดตั้ง 500 ขั้นคงไม่มีใครอยากจะเดินขึ้นไปอีกรอบแน่ๆ แต่สำหรับผมผู้ชื่นชอบการถ่ายภาพจำต้องยอมคลานขึ้นไปอีกรอบเพื่อเก็บภาพพระอาทิตย์ตกดินซักครั้ง ส่วนโมชเพื่อนผมก็ใช้เวลาว่างระหว่างรอผมได้อย่างมีประโยชน์มาก ท่านผู้อ่านรู้ไหมครับว่าเพื่อนผมจะทำอะไร....ลองเดาดูซิครับ..........เจ้าโมชนอนอีกแล้ว!
"บริเวณด้านหลังพระราชวังมีสวนขนาดใหญ่ซึ่งมีวัดอยู่บนภูเขา สวนแห่งนี้ชื่อว่า JING SHAN PARK ขณะที่เดินเล่นในสวนแห่งนี้เผอิญไปเจอแมลงประหลาดเลยถ่ายรูปเก็บมาให้ดูครับ"
"บนยอดเขาจะมีวัดอยู่ซึ่งข้างในมีพระพุทธรูปให้กราบไหว้ และด้านหน้าของวัดนี้สามารถมองเห็นพระราชวังต้องห้ามด้วย ณ.จุดนี้มีนักท่องเที่ยวขึ้นมาเยอะมากจึงมีมุมให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปกับชุดสมัยก่อน พอผมเห็นจึงต้องรีบเข้าไปคาราวะทันที ส่วนโมชนอนรอผมถ่ายพระอาทิตย์ตกดินครับ"
พระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า ณ.ยอดเขานั้นไม่ได้มีผมเพียงคนเดียวที่ถ่ายตั้งกล้องถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกดิน นักท่องเที่ยวประเทศอื่นก็มาตั้งกล้องถ่ายภาพที่นี่จำนวนมากเช่นกันซึ่งทุกคนต่างสนุกสนานกับการถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกดิน หลายท่านอาจจะสงสัยว่าแค่ถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกดินมันสนุกสนานอย่างไร อืม...... ถ้าถามในมุมผม ผมคิดว่า การตั้งไวท์บาลานซ์ของกล้อง วัดแสงอันเดอร์ การแพนกล้อง และจัดองค์ประกอบภาพ ล้วนแล้วเป็นการสรรสร้างศิลปะอันเกิดจากผสมผสานระหว่างจินตนาการของสมองซีกขวา และการคำนวณแสงโดยใช้สมองซีกซ้ายจนก่อให้เกิดภาพๆหนึ่งอันน่าประทับใจขึ้นมา..... นี่ผมพูดเว่อร์ไปรึเปล่าเนี่ย?.... เออพูดเว่อร์จริงด้วย งั้นเอาใหม่ผมว่าการถ่ายภาพพระอาทิตย์ตกดินมันมีเสน่ห์ครับ เพราะพระอาทิตย์ตกดินนั้นสวยครับ คนจึงมักชอบถ่ายภาพสวยๆเก็บไว้.... จริงป่ะ?
ผมค่อยๆเดินลงมาจากภูเขาอย่างไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง หิวก็หิว ขาก็เมื่อย เห็นโมชนอนหลับอยู่บนลานหินแล้วก็รู้สึกอยากจะเอาหลังบางๆไปขนาบกับลานหินบ้างจัง แต่ทำแบบนั้นไม่ได้เพราะเวลาก็ล่วงเลยมากแล้วผมจึงต้องรีบปลุกโมชให้ไปต่อ....ไปไหนหรือครับ.......ไปหาข้าวกิน ผมกับโมชเดินออกจาก JING SHAN PARK ปุ๊ป ผมรู้สึกแปลกใจทันทีว่านี่เราอยู่สวนลุมรึเปล่า เพราะผมเห็นลานด้านหลังของพระราชวังกลายเป็นลานเต้นแอโรบิกไปแล้ว ตอนแรกผมนึกว่ามีเพียงประเทศไทยที่เดียวซะอีกที่มีลานแอโรบิกแดนซ์ให้ประชาชนออกมาเต้นซะอีก ที่ประเทศจีนก็มีเช่นกัน (กบในกะลาจริงๆเรา)
พวกผมเดินเรียบถนนพระราชวังฝั่งตะวันตกเรื่อยมาเรื่อยๆ เวลาขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 2 ทุ่มซึ่งพระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า ผมกับโมชเดินได้ประมาณ 30 นาที ก็เจอร้านอาหารตามสั่งร้านแรกเลยตั้งแต่เดินกลับ ด้วยความหิวจัดจึงเลี้ยวเข้าร้านทันทีโดยไม่ขอสังเกตการณ์ร้านอื่นๆว่าน่ากินรึเปล่า ผมและโมชกินมื้อนี้หมดไปประมาณ 38 หยวน มีข้าวผัด 2 จานจานละ 8 หยวนแต่ได้เยอะมาก และสั่งหมูสามชั้นผัดพริกหยวกเป็นกับข้าว 1 อย่าง พริกหยวกที่นี่จะไม่เผ็ดครับ แต่จะกรอบและหวานมันเลยทีเดียวและขนาดก็จะใหญ่กว่าพริกหยวกบ้านเราประมาณ 2 เท่า เพียงแค่ 38 หยวนหรือประมาณ 180 บาทสำหรับ 2 คนก็ทำให้ผมมีพลังเดินต่ออีกครั้ง ผมและโมชตัดสินใจที่จะกลับที่พักกันแล้ว แต่พวกเราต้องกลับไปที่สถานีรถไฟใต้ดิน TIAN’AN MEN EAST STATION ก่อน เพื่อไปออกสถานี DONG ZHI MEN เผอิญว่าหลังร้านอาหารนี้มีถนนที่เดินเรียบกับกำแพงพระราชวังและมีคลองด้วย ผมและโมชจึงลองเดินเส้นทางนั้นดูเพื่อหวังว่าจะมีทางลัดไปออกสถานีรถไฟใต้ดิน TIAN’AN MEN
พระราชวังนี้มีคลองล้อมวังทั้ง 4 ทิศ นอกจากจะช่วยให้ทัศนียภาพสวยงามขึ้นแล้ว ที่นี่ยังเป็นที่จู๋จี๋ของคู่รักเสียด้วย ตั้งแต่ผมเดินถนนเลียบกำแพงฝั่งตะวันตกผมเห็นคู่รักหลากหลายคู่ ทั้งคู่หนุ่มสาววัยทำงาน คู่เด็กเรียนวัยรุ่น แม้กระทั่งคู่ผู้ใหญ่อายุ 40 ขึ้นนั่งกระหนุงกระหนิงอยู่ริมคลองตลอดเส้นทาง ทั้งนั่งซบไหล่ โอบเอว หนุนตัก จูจุ๊บ ถนนเส้นนี้ทำให้ผมทรมานจิตใจมากเพราะผมเกิดจิตอิจฉาริษยาเสียแล้ว เห็นแล้วก็.....นะ.....เฮ้อ ทำไมเราไม่มีอย่างงี้มั่ง
ถนนเลียบกำแพงฝั่งตะวันตกนำพวกผมไปออก ณ.จุดที่ขายตั๋วเข้าชมวัง (จุดที่ผมต้องไปแย่งจ่ายตังค่าเข้าชมวังคนละ 60 หยวนครับ) เมื่อมาถึงตรงจุดนี้ผมไม่สามารถกลับเส้นทางเดิมได้เนื่องจากเจ้าหน้าที่ปิดประตูทางเข้าออกแล้ว ดังนั้นผมและโมชต้องเดินออกทางถถนเลียบกำแพงฝั่งตะวันออกแทน เมื่อผมและโมชเดินออกมาจากประตูฝั่งตะวันออกแล้วก็ได้พบสี่แยกไฟแดง ผมถามโมชว่าระหว่างเลี้ยวขวาเพื่อกลับไปที่สถานีรถไฟใต้ดิน กับเดินตรงไปเพื่อเดินเล่นต่อจะเลือกอะไร และคำตอบก็เป็นอย่างที่ผมคิดคือเดินตรงต่อไปไม่รีบกลับโรงแรม แม้ขาจะไม่มีแรงเดินกันแล้วแต่พวกเราก็ยังบ้าดีเดือดตามประสาคนหนุ่มต่อไป โดยที่พวกเราเองก็ไม่รู้ด้วยว่าจะเจอสถานีรถไฟใต้ดินข้างหน้าหรือไม่
ตลอดการเดินในช่วงครึ่งกิโลเมตรแรกจากเที่ยนอันเหมิน ผมและโมชไม่เจออะไรที่น่าสนใจเลย แต่ครึ่งกิโมเมตรหลังนี่ซิครับพวกผมได้มาเจอ walking street หรือถนนคนเดินซึ่งที่นี่จะมีร้านขายของกินแปลกประหลาดเรียงกันตลอดแนวซึ่งย่านนี้เรียกว่า WANG FU JING โดยแต่ละร้านจะขายเนื้อปิ้งย่าง โดยมีสารพัดสัตว์เลยครับ เช่น เนื้องู ปลาดาว หอยโข่ง หอยประหลาดรูปร่างเหมือนเห็ด เนื้อหมา เขียด กบ หนวดปลาหมึกยักษ์ กั้ง หอยเม่น ตะขาบ แมงป่อง ม้าน้ำ จิ้งหรีด ด้วง และสารพัดแมลงหรือเนื้อสัตว์อีกมากมายที่ผมจำไม่ได้ แม่ค้าแต่ละร้านก็จะเรียกให้นักท่องเที่ยวเข้ามาลองชิม ทุกอย่างราคา 5 หยวน ในคืนนั้นผมและโมชเหลือเงินรวมกันแค่ 50 หยวนซึ่งเราต้องเก็บไว้สำหรับค่ารถแท๊กซี่และรถไฟใต้ดินขากลับ แต่ด้วยความอยากลิ้มลองอะไรแปลกใหม่ของบุรุษผู้ชื่นชอบการกินของประหลาดอย่างเพื่อนผม จึงรีบเข้าไปถามคนขายทันทีว่าจ่ายเป็นเงินดอล์ล่าร์ได้ไหม ร้านแรกไม่รับ แต่ร้านที่สองนี่ซิครับ คนขายเป็นน้องหมวย ผิวขาว หน้าตาน่ารักมาก ทุกๆครั้งที่เธออธิบายว่าแต่ละไม้ที่ผมชี้คือเนื้ออะไร เธอจะตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสและสะกดผมให้มองหน้าคนขายตลอดเวลา พอผมถามว่าจ่ายเป็นดอล์ล่าร์ได้ไหม น้องหมวยที่น่ารักคนนี้ดันบอกว่าได้และเธอก็บอกว่าไม้ละ “5 ดอล์ล่าร์”
พี่น้องครับที่ผมจะเล่าต่อไปนี้คือความโง่ที่สุดในชีวิตของผมและโมชตั้งแต่เกิดมาเลย เพราะทุกๆครั้งที่น้องหมวยคนนี้ชวนผมและโมชซื้อแต่ละไม้ด้วยรอยยิ้ม ผมและโมชต่างก็เข้าใจผิดว่า 5 ดอล์ล่าร์ คือ 5 หยวน! และพวกเราก็ดันซื้อซะด้วย..... โง่ไหมละครับ ผลของการไม่มีสติ และหลงอยู่ในรูป กลิ่น เสียง
"โมชกำลังไปเจรจาต๊าอ่วยกับแม่ค้าเพื่อขอซื้อของเป็นเงินดอล์ล่าร์ได้หรือไม่ ส่วนที่โมชถือเปิปพิศดารอยู่นั้นไม้แรกที่เป็นก้อนดำๆ คือหอยโข่ง รสชาติเค็มปี๋ๆๆๆๆๆมาก ส่วนไม้ตรงกลางที่มีหัวเหลืองๆ คือหอยชนิดหนึ่งรสชาติจืดสนิท"
พวกเราซื้อมาทั้งหมด 5 ไม้ มีหอยโข่ง 1 ไม้ หอยประหลาดอีก 2 ไม้ งู 1 ไม้ และเนื้ออะไรก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าคนขายเชียร์เลยซื้ออีก 1 ไม้ โมชควัก 5 ดอล์ล่าร์ ผมควัก 20 ดอล์ล่าร์ พวกเราจ่ายไป 25 ดอล์ล่าร์โดยไม่ได้รู้ตัวเลย หลังจากที่ผมจ่ายไปน้องหมวยคนนี้ยังทำหน้าคิกขุมาถามพวกผมอีกว่า นี่แบงก์ดอล์ล่าร์จริงหรือเปล่า ดู๋ดู ดูหล่อนถาม ด้วยความที่หมวยคนนี้คุยเก่งมาก หล่อนถามพวกผมว่ามาจากที่ไหนกัน โมชรีบตอบทันทีว่า “Thailand!” “Thailand ! I want to go! Do you have Thai money?” หล่อนถามพวกผมกลับ โมชจึงควักแบงก์ 20 ให้ทันที พอน้องหมวยได้ชมและสัมผัสปุ๊ป จึงรีบถามทันทีว่า “ขอได้ไหม” แหมเสี่ยโมชซะอย่างก็ต้องให้อยู่แล้ว สำหรับเนื้อที่พวกผมกินกันคนล่ะไม้ ขอบอกได้คำเดียวว่ารสชาติช่างไม่คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปจริง เพราะรสชาติจืดสนิท เนื้อก็เฝื่อนๆ บางไม้ไม่จืดแต่เค็มปี๋เลย ขนาดใส่พริกป่นกับน้ำจิ้มเพิ่มเข้าไปแล้วยังไม่สามารถเพิ่มรสชาติได้ รสชาติแย่มากถึงขั้นที่พวกเราจะโยนทิ้งลงขยะในทันที (ขนาดผมเป็นคนที่กินอะไรจะไม่ยอมให้เหลือเพราะเสียดายของยังทนไม่ได้เลย) เผอิญมีคนเก็บขยะเดินผ่านมาพอดีจึงเป็นความโชคดีของพวกผมที่ไม่ต้องฝืนกินและคนเก็บขยะที่ยินดีรับของกินจากพวกผม
เมื่อพวกผมเดินออกจากร้านของน้องหมวยไปถึงสุดถนนก็จะเจอโซนที่เป็นย่านช็อปปิ้ง (เหมือนสยามสแควร์บ้านเราเลย แต่ถนนจะกว้างกว่ามาก) ทีแรกผมนึกว่าผมจะเดินย่านนี้อย่างมีความสุขเพราะได้เห็นสาวๆสวยๆน่ารักๆเดินช็อปปิ้งกันเต็มถนน แต่พอผมมาฉุกคิดเรื่องเงินที่จ่ายไปกับเปิบพิศดาร 5 ไม้ (เพิ่งจะมารู้ตัวโดนหลอก) ความโง่ที่เกิดขึ้นทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองมีเขางอกที่หัว และรู้สึกเซ็งมากๆ สมองซีกซ้ายเริ่มทำงานผมเริ่มคำนวณ 1 ดอล์ล่าร์ เท่ากับ 33 บาท, 25 ดอล์ล่าร์ ก็ 825 บาท, 1 หยวน เท่ากับ 4 บาทกว่า ตีซัก 5 บาทล่ะกันจะได้คิดง่ายๆ, 25 หยวน มันก็แค่ 75 บาทนี่หว่า.....โอ้โห โลกนี้แทบมืดมน นี่เรา 2 คนเสียค่าโง่ไปตั้ง เจ็ดร้อยกว่าบาทเลยหรือเนี่ย!!!! ช่างเป็นเปิบพิศดารที่แพงที่สุดและรสชาติแย่ที่สุดเท่าที่ผมเคยกินมาเลย....ถ้ามีคนถามผมว่าแล้วทำไมไม่ไปทวงเงินคืนล่ะ จ่ายแพงเกินจริงตั้งขนาดนั้น.....นั่นสิทำไมผมไม่ไปทวงตังคืนนะ ไม่รู้เหมือนกันแฮะ.....
กลับมาคุยเรื่องย่านช็อปปิ้งของ WANG FU JING กันต่อดีกว่า ส่วนเรื่องเปิปพิศดารนั้นคงต้องวางอุเบกขาดีกว่า แล้วมาหลงรูปรสกลิ่นเสียงย่านช็อปปิ้งตรงนี้แทน
ที่ WANG FU JING นอกจากจะมีถนนที่ขายของกินแปลกๆแล้ว ยังเป็นแหล่งช็อปปิ้งด้วย มีห้างสรรพสินค้าและร้านค้าเยอะแยะมากมาย ขณะนั้นเป็นเวลา 3 ทุ่มกว่าๆ แต่คนเดินถนนเส้นนี้ยังพลุกพล่านและร้านค้าต่างๆก็ยังไม่ถึงเวลาปิดบริการ ส่วนสินค้าที่ขายบริเวณนี้ก็มีทั้งสินค้าแบนเนม และไม่แบนเนม มีร้านอาหารหลากหลายนานาชาติ ร้านไอติม ร้านกิฟช๊อบ ร้านขายของที่ระลึก และมีมินิคอนเสิดด้วย เรียกได้ว่าแสงสีบนถนนเส้นนี้มีสีสันมากๆ และมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาเดินกันเยอะมาก พอๆกับชาวจีนที่มาเดินถนนเส้นนี้เลยอาจเป็นเพราะใกล้เทศกาลโอลิมปิกก็เป็นได้ถึงได้มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวประเทศนี้เยอะ ผมและโมชเดินมาถึงร้านขายของที่ระลึกงานโอลิมปิกร้านหนี่ง โมชรู้สึกตื่นเต้นมากรีบวิ่งเข้าไปหาซื้อของฝาก ส่วนผมไม่ได้สนใจอะไรมากนักกับของที่ระลึกและอีกเหตุผลหนึ่งคือข้างในร้านคนเยอะมากๆๆๆ แถบจะแย่งกันซื้อ ผมจึงยืนรออยู่ข้างนอกดูคนสวยเดินผ่านไปผ่านมา จนกระทั่งถึงเวลาสี่ทุ่มก็มีพนักงาน 2 คนของร้านเดินมาที่ประตูทางเข้าแล้วพลิกป้ายคำว่า OPEN เป็น CLOSE ผมเห็นนักท่องเที่ยวหลายคนต้องการจะเข้าไปข้างในร้านแต่พนักงาน 2 ท่านนี้ห้ามไม่ให้เข้ามาแถมยังไล่แบบไม่สุภาพอีกด้วย ทำให้นักท่องเที่ยวหลายคนแสดงสีหน้าตกใจ ยืนงงอยู่หน้าร้านเป็นจำนวนมาก ตัวผมเองก็ไม่สามารถเข้าไปข้างในร้านเช่นกันจึงต้องยืนรออยู่หน้าร้านจนกว่าโมชจะซื้อของเสร็จ แต่ท้ายที่สุดเพื่อนผมก็เดินออกมาตัวเปล่า เพราะสินค้าแพงมาก ซื้อไม่ลง
"เดินเล่นบริเวณถนนคนเดิน ณ. WANG FU JING"
ผมและโมชเดินตรงมาเรื่อยๆโดยไม่รู้ว่าสถานนีรถไฟใต้ดินอยู่ตรงไหน ก็อาศัยว่าเดินไปเรื่อยๆแหละเดี๋ยวก็เจอเอง ตอนนี้เพิ่งจะสี่ทุ่มกว่าๆรถไฟใต้ดินคงยังไม่หมดหรอกมั้ง เพราะที่เมืองไทยกว่ารถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดินจะหยุดวิ่งก็ประมาณเที่ยงคืน ที่นี่ก็คงเป็นเหมือนกัน และแล้วท้ายที่สุดพวกผมก็เจอสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ผมเห็นทุกๆคนรีบวิ่งกันลงสถานีอย่างเร่งรีบ ผมดูนาฬิกาซึ่งตอนนั้นกำลังจะ 5 ทุ่มด้วยคอมมอนเซนด์ผมจึงรู้ว่า รถไฟใต้ดินที่นี่น่าจะปิด 5 ทุ่มเหมือนเกาหลี จึงใส่เกียร์ 5 วิ่งไปซื้อตั๋วพร้อมขึ้นรถไฟทันทีซึ่งพวกผมก็โชคดีมากที่พวกเราทันรถขบวนเที่ยวสุดท้ายของสายซึ่งพาพวกเราไปโผล่ที่สถานี DONG ZHI MEN เพื่อเรียกแท๊กซี่กลับโรงแรมอย่างหมดสภาพและอ่อนเปลี้ยเพลียแรงยิ่งนัก
ติดตามอ่านสองเงาในมองโกเลีตอนที่๖เร็วๆนี้นะคร้าบ^^
*****