เช้าวันที่ 16 กรกฎาคมผมและโมชตื่นแต่เช้าประมาณตีสี่ครึ่งเพื่อเตรียมขึ้นรถบัสที่นัดหมายพวกเราตอนเวลาตี 5 ตั้งแต่ผมรู้จักเพื่อนชื่อ
โมชมานั้น ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เพื่อนผมคนนี้ใช้เวลาอาบน้ำเพียงแค่ “5นาที!” พวกเรากลัวตกเครื่องบินกันมากจึงยอมเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรมของตนเองให้เข้ากับสถานการณ์
“555 ถึงแม้พวกผมจะเร่งรีบอย่างไรก็ตาม ผมและโมชก็เป็นคู่สุดท้ายที่ช้าที่สุดที่มาถึงรถบัสคันนี้” เช้าวันนี้เป็นเช้าที่เต็มไปด้วยความ
วุ่นวาย ผมต้องรีบเอากระเป๋ามาเก็บไว้และรีบวิ่งขึ้นมาบนรถเพื่อออกเดินทางทันที ข้างในรถมีผู้โดยสารประมาณ 30 คน ผมรู้สึกเซ็งทันที
เพราะผมคิดว่าผู้โดยสารในนี้คงมานั่งรออยู่ในรถตั้งนานแล้วและคงรอผมกับโมชซึ่งเป็นคู่สุดท้ายแม้ผมจะเห็นเข็มสั้นของนาฬิกาชี้ที่แลข 5
และเข็มยาวชี้ที่เลข 12 ตอนที่ที่ผมวิ่งขึ้นมาบนรถแล้วก็ตามที
แต่แล้วรถบัสที่สตาร์ทเครื่องรอผู้โดยสารคันนี้กลับไม่ออกเดินทางทันทีที่พวกผมมาถึง ผมได้ยินเสียงผู้หญิงท่านหนึ่งซึ่งนั่งบริเวณด้านหลังกำลัง
โวยวายเป็นภาษาจีนและเดินผ่านที่นั่งผมด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว เธอเดินมาที่คนขับรถและบ่นอะไรบางอย่างกับโชเฟอร์และพนักงานโรงแรม
นานประมาณ 5 นาที จากนั้นเธอก็เดินกลับไปที่นั่งของตัวเองและรถบัสก็เริ่มออกเดินทางมุ่งหน้าไปที่สนามบินอย่างเร่งรีบด้วยความเร็ว 60
กิโลเมตรต่อชั่วโมงเอง
ผมถามคุณอาเจริญด้วยความสงสัยว่าทำไมผู้หญิงคนนั้นต้องโวยวายเสียงดังใส่คนขับรถกับพนักงานโรงแรมขนาดนั้น จึงทราบว่าเหตุผลว่าเธอ
ต้องขึ้นเครื่องบินตอน 6 โมงเช้า แต่ไม่มีรถมารับตอนตี 4 ทั้งๆที่ในใบนัดบอกว่าจะมารับตอนตี 4 เธอจึงมีความเสี่ยงที่จะตกเครื่องอีกรอบ
เนื่องจากเวลาที่เดินทางจากโรงแรมไปถึงสนามบินใช้เวลาประมาณ 30 นาทีบวกกับการเสียเวลาเช็ค Passport และสัมภาระต่างๆ
ในสนามบินนั่นเอง ส่วนพวกเราคนไทยทั้ง 5 ที่จะเดินทางไปมองโกเลียต่อนั้นสบายใจหายห่วงได้เพราะเครื่องบินออกเดินทางเวลาเจ็ดโมงครึ่งครับ
สำหรับการเดินทางโดยเครื่องบินครั้งแรกของโมชนั้น มีเรื่องสร้างความจุกจิกให้กับแผนกตรวจสิ่งของก่อนขึ้นเครื่องบินพอสมควร ก็เพราะ
กระเป๋าสะพายประจำตัวโมชนะซิครับ กระเป๋าในนิดเดียวแทนที่จะเก็บเงินไว้เยอะๆ แต่กลับมีแต่วัตถุมงคลมากมาย ทั้งพระเครื่อง ตะกรุด สีผึ้ง
ผ้ายันต์ แว่นส่องพระ นามบัตร แว่นกันแดดและวัตถุมงคลอื่นๆที่ผมไม่รู้จัก ตอนขึ้นเครื่องจากเมืองไทยก็ไม่ค่อยมีปัญหามากหรอกครับเพราะ
พนักงานตรวจสิ่งของย่อมรู้จักวัตถุมงคงเหล่านี้ดีอยู่แล้ว แต่พอมาขึ้นเครื่องที่ประเทศจีนนี่ซิครับกระเป๋าของโมชต้องถูกสแกนแล้วสแกนอีก ต้อง
เทออกจากกระเป๋ามาดูว่ามีอะไรบ้าง เพราะคนจีนไม่รู้จักวัตถุมงคลเหล่านี้
เมื่อผ่านพ้นการตรวจเรียบร้อยแล้วโมชก็เก็บของที่ถูกเทออกมาให้เรียบร้อยเหมือนเดิม ผมกะว่าจะเข้าไปช่วยเก็บซะหน่อย แต่พอผมเห็นเพื่อน
คนนี้จัดเก็บของอย่างมีระเบียบ รู้ว่าของอะไรต้องใส่ก่อนอะไรต้องใส่หลังเพื่อจัดสรรพื้นที่ในกระเป๋าให้พอดีโดยที่กระเป๋าไม่ตุงแล้ว ผมว่าผม
ไม่ช่วยดีกว่าเพราะถ้าเป็นผม ผมจะยัดๆใส่เข้าไปอย่างรวดเร็วตามประสาคนมักง่ายอ่ะ
ระยะเวลาจากปักกิ่งไปถึงอูลาบาตอร์เมืองหลวงของมองโกเลียใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ผมตื่นขึ้นจากเสียงของลำโพงที่แจ้งว่าอีก 30 นาที
เครื่องจะลงจอด ผมมองออกไปที่หน้าต่างเพื่อดูวิวทิวทัศน์ของมองโกเลีย ผมตกใจมากที่เห็นแนวเทือกเขาของมองโกเลียเป็นสีเขียวเต็มไปหมด
“เฮ้ย มองโกเลียมีต้นไม้เยอะขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย นึกว่ามีแต่ทะเลทราย” ผมคิดแบบนี้เพราะสมัยเด็กๆเคยท่องหนังสือสังคมที่บอกว่าบรรพ
บุรุษชาวไทยมาจากทะเลทรายโกบีในมองโกเลีย แต่พอเครื่องบินเริ่มบินต่ำลงๆผมจึงทราบว่าเทอกเขาเขียวที่เห็นเหล่านั้น แท้ที่จริงแล้วคือทุ่งหญ้า
ที่ปกคลุมไปทั่วเทือกเขาต่างหากซึ่งไม่มีต้นไม้ซักต้นเดียวเลย เครื่องบินเริ่มบินต่ำลงๆผมเริ่มเห็นทะเลสาบและลำธารเยอะแยะมากมาย ผมกวาด
สายตาไปทั่วและต้องตกใจในทันทีเมื่อผมเห็นหลุมขนาดใหญ่มากกกกกก แถมมีเสียงดัง “คร่อกๆ”ด้วย 555 เพื่อนผมมันนอนกรนอ้าปากหวอนี่เอง^^
ภาพ landscape ประเทศมองโกเลียจ้า^^
และแล้วเท้าของผมก็มาสัมผัสประเทศมองโกเลียจนได้ เย้ๆๆๆดีใจสุดๆกว่าจะมาถึงที่นี่ได้มีอุปสรรคให้ตื่นเต้นเยอะจริงๆ พวกเรามาถึงสนามบิน
อูลาบาตอร์ตอนประมาณ 11 โมง สนามบินแห่งนี้มีขนาดมากเล็กกว่าสนามบินภูเก็ตอีก คุณคิมมารอรับพวกผมและครอบครัวคุณอากรรณิการ์
บริเวณห้องBoarding pass และมีเจ้าหน้าที่ของสนามบินช่วยจัดการเรื่อง passport ของพวกเราทั้ง 5 คนโดยที่พวกเรา
ไม่ต้องต่อแถวรอคิวแต่ให้พวกเราไปนั่งรอในห้องรับรองของสนามบินแทน
ในระหว่างรอ passport คุณคิมได้อธิบายกำหนดการคร่าวๆในหมายกำหนดการที่เธอเตรียมไว้ให้ เนื่องจากวันแรกของกำหนดการ
เดิมพวกเราทั้งห้าต้องไปร่วมพิธีเปิด NADAAM FESTIVAL ที่เมือง BORNOR แต่พวกเราตกเครื่องบินในวันแรกนี่ซิ กำหนดการ
จึงถูกปรับเปลี่ยนในทันที อย่างไรก็แล้วแต่ BORNOR ก็ยังเป็นสถานที่ที่พวกเราต้องไปเพื่อไปพบท่านลามะภูริบัตและร่วมงาน
NADAAM FESTIVAL อีกสองวันที่เหลือ (เทศกาล NADAAM FESTIVALมี 3 วัน)
รถที่นำมารับพวกเราทั้งห้า เป็นรถ TOYOTA LEXUS และ TOYOTA RAV4สำหรับใช้เป็นที่เก็บสัมภาระ ครับ พวกเราทั้งห้า
และคุณคิมนั่งอัดกันในรถ LEXUS ยังก่ะปลากระป๋องซึ่งโชคดีนะครับที่ทริปนี้มีแต่คนตัวผอมๆ โดยเฉพาะผมเอว 28 เองแห้งเป็นปลากรอบเลย
555.... เมือง BORNOR เป็นเมืองชนบทเมืองหนึ่งซึ่งอยู่ไกลออกไปจากอูลาบาเตอร์ไปหลายกิโล (เกือบร้อยโล) ถ้าชนบทของ
เมืองไทยมีแต่ทุ่งนา ชนบทของมองโกเลียก็มีแต่ทุ่งหญ้าเช่นกัน ซึ่งจากการสังเกตุของผมวิวทิวทัศน์ของชนบทในมองโกเลียมีอยู่ 3 อย่างเท่านั้นเอง
1. แนวเทือกเขาที่มีทุ่งหญ้าสูงไม่เกิน 3 นิ้ว ถนนลูกรังสลับกับถนนลาดยางและลำธารเป็นบางช่วง
2. บ้านเรือนขนาด 1 ชั้นและกระโจมสีขาว โดยมีรั้วล้อมแสดงอาณาเขตของบ้านแต่ละหลัง
3. ฝูงสัตว์มีทั้ง ม้า แพะ แกะ วัว จามรี
นอกนั้นผมไม่เห็นอะไรที่แปลกไปจาก 3 ข้อนี้เลย แม้แต่ต้นไม่ซักต้นยังเห็นได้ยากมาก ผมนั่งฟังการสนทนาของงคุณคิมกับคุณอากรรณิการ์
แล้วรู้สึกว่าทั้งสองท่านนี้น่าจะรู้จักกันมาก่อนเพราะคุยสนิทกันเป็นอย่างดี....ใช่ครับทั้งสองท่านต่างก็รู้จักกันมาก่อน คุณอากรรณิการ์บอก
ผมว่าท่านเคยมามองโกเลียแล้วครั้งหนึ่งซึ่งตอนนั้นคุณอากรรณิการ์มากับคณะของแม่ชีศันสนีย์ การมาเยือนในครั้งนั้นลำบากกว่าครั้งนี้มากเพราะถนน
ไม่เรียบเหมือนครั้งนี้ รถที่ใช้ก็ไม่สะดวกสบายเหมือนครั้งนี้ อากาศก็หนาวเย็นกว่า อีกทั้งมิได้เตรียมอาหารแห้งจากเมืองไทยมารับประทานเลย จึงต้อง
รับประทานแต่อาหารที่แห้ง แข็งและจืดเป็นส่วนใหญ่
การสนทนาระหว่างคุณอากับคุณคิมส่วนใหญ่จะพูดคุยกันเรื่องการมาเยือนมองโกเลียครั้งแรกของคุณอากรรณิการ์และเรื่องทั่วๆไปในมองโกเลียสำหรับ
ผมก็นั่งฟังบ้างไม่ฟังบ้าง แต่มีประเด็นหนึ่งที่ผมตั้งใจฟังทันที ที่มองโกเลียมีทรัพยาการน้ำมันและแร่ธาตุต่างๆมากมายทั้งน้ำมันทองแดง ทองคำ ถ่านหิน
ซึ่งมีชาวต่างชาติมาสำรวจค้นพบมากมาย คุณคิมบอกกับพวกเราว่าแม้มองโกเลียมีน้ำมัน แต่บ่อน้ำมันที่ขุดพบนั้นยังไม่มากพอสำหรับการพัฒนา
เศรษฐกิจประเทศและการพาณิชย์ จึงมีหลายพื้นที่ที่รอการสำรวจขุดเจาะอีกมาก ที่ประเทศแห่งนี้ไม่มีโรงกลั่นน้ำมันครับ ดังนั้นน้ำมันที่ขุดเจาะได้จะถูกส่ง
ออกไปให้ประเทศจีนเพื่อกลั่นเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงต่างๆและท้ายสุดก็ต้องนำเข้าน้ำมันที่ถูกกลั่นแล้วเอาเข้ามาขายในประเทศอีกทีหนึ่ง
ตอนแรกผมเข้าใจว่า BORNOR คือเมืองหนึ่งของประเทศนี้ ผมเข้าใจผิดครับ BORNOR คือชื่อหมู่บ้านต่างหาก และเป็นบ้านเกิดของลามะภูริบัด
ผู้ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูศิลปะวัฒนธรรมและศาสนาของประเทศมองโกเลีย
โชเฟอร์พาพวกเรามาที่วัดประจำหมู่บ้านแห่งนี้ เมื่อผมก้าวขาลงจากรถปุ๊บ สิ่งที่ผมเห็นเป็นอย่างแรกคือ ชาวบ้านที่ขี่ม้าไปมาตามถนนและทุ่งหญ้า
และสิ่งที่ทำให้ผมต้องตกตะลึงเมื่อผมเห็น “ส้วม”
ส้วมตามชนบทของมองโกเลียจะเป็นห้องเล็กๆกว้างยาวข้างละประมาณ 1 เมตร สูงประมาณ 1.8 เมตร ส้วมที่นี่ไม่มีน้ำใช้ ไม่มีชักโครก ไม่มีส้วมซึม
มีแต่หลุมที่ลึกประมาณ 3 เมตรและมีแผ่นไม้วางขัดไว้ 2 ข้างเป็นที่เหยียบเพื่อให้นั่งยองๆปลดทุกข์เบาและหนัก สำหรับในหลุมข้างล่างมีอะไรบ้างผมคง
ไม่ต้องบรรยาย แต่ที่แน่ๆเลยคือสิ่งที่โบยบินขึ้นมาจากหลุมข้างล่างออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ยามที่พวกมันอิ่มหมีพีมันนั่นก็คือ “แมลงวัน”
ผมอึ้งไปประมาณ 3 วินาทีกับส้วมที่เห็นและคิดในใจว่า “นี่เราต้องใช้ส้วมแบบนี้ตลอด 7 วันที่เหลือจริงๆหรือเนี่ย!” เฮ้อ...คิดไปก็รกสมอง
ผมตามกลุ่มคุณอาเข้าไปในวัดดีกว่า
บุคคลแรกที่ต้อนรับพวกเราคือคุณ DELGERMAA(เขียนชื่อตามนามบัตรที่เธอให้มา) คุณ DELGERMAA พาพวกเรา
ไปพบลามะภูริบัด และรองพระสังฆราชของมองโกเลียในกระโจมสไตล์มองโกเลียที่ท่านผู้อ่านน่าจะเคยได้เห็นในหนังจีนหลายๆเรื่องเช่นมังกรหยก
เจงกีสข่าน ซึ่งกระโจมหลังนี้อยู่ด้านหลังของวัด ลามะทั้งสองนั่งรอต้อนรับพวกเราด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร อีกทั้งมีผู้อาวุโสซึ่งผมเดาว่าคงเป็นผู้ใหญ่บ้านของ
หมู่บ้านนี้มารอต้อนรับพวกเราเช่นกัน ตามธรรมเนียมของชาวมองโกเลีย เมื่อมีแขกมาเยี่ยมเยือนเจ้าบ้านจะเสิร์ฟนมเปรี้ยวที่ทำมาจากนมม้า
(ตักนมเปรี้ยวจากโอ่งด้วยกระบวยใส่ขันแล้วเวียนกันดื่ม)พร้อมกับโยเกิร์ตแท่งภาษามองโกเลียเรียกว่า Eezgii
(ใครอ่านออกบ้างช่วยบอกที คุณ DELGERMAA เขียนให้ผมดูอ่ะ) ให้กับพวกเรา
อ๋า...นมเปรี้ยวนี่แหละครับอาหารประจำชาติของมองโกเลีย โดยปกติผมเป็นคนที่ชอบกินนมเปรี้ยวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่ว่าจะยาคู๋ บีทาเก้น
ดัชมิลล์ ไพแกน ผมดื่มมาหมดแล้ว ดังนั้นนมเปรี้ยวของมองโกเลียย่อมเป็นสิ่งที่ผมต้องการชิมอย่างแน่นอน ในสัมผัสแรกที่สิ้นผมกระทบกับนมเปรี้ยวนั้น
ผมสัมผัสได้ 2 อย่างด้วยกัน1.) กลิ่นคาวแบบนมม้า(คาวกว่านมแพะอีก) 2.) รสเปรี้ยวแบบนมบูด
คนกินเก่ง กินง่ายอย่างผมเมื่อได้ลองชิมนมเปรี้ยวแค่อึกเดียวเท่านั้น ผมรีบส่งต่อให้โมชทันที และแน่นอนครับชาวไทยทั้ง 5 ไม่มีใครทานได้
ยิ่งเจอห้องน้ำแบบที่ผมกล่าวมาแล้วข้างต้น ผมคงไม่กล้าท้องเสียอย่างแน่นอน ส่วนโยเกิตแท่งที่ผมได้ลิ้มลอง รสชาตินั้นเหมือนนมเปรี้ยวทั้ง 2 ข้อเลยแถมแข็ง
มากด้วย (แข็งกว่าขนมถั่วตัดอีกครับ)
ในวงสนทนาระหว่างการพูดคุยระหว่างลามะทั้ง 2 กับคุณอากรรณิการ์โดยสนทนาผ่านคุณคิมและคุณ DELGERMAA นั้น ผมและโมชไม่ค่อย
จะมีส่วนร่วมซักเท่าไหร่ ดังนั้นผมและโมชจึงปลีกตัวออกมาเตรียมของที่นำมาจากเมืองไทยเพื่อถวายให้ลามะ สิ่งนั้นคือพระบรมสารีริกธาตุ พระปัจเจกธาตุและ
พระอรหันตธาตุ โดยเจดีย์ที่นำมาบรรจุนั้นเป็นเจดีย์ทรงไทยสีทอง ออกแบบโดยอาจารย์เติ๊บจากบริษัทกนกพันธุ์ พันธมิตรใหม่ของชมรมฯ โดยเจดีย์นี้มีที่
บรรจุ 2 ชั้น ชั้นล่างบรรจุ พระอรหันตธาตุ ส่วนชั้นบนเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
เมื่อพวกเราเตรียมเสร็จเจดีย์ที่บรรจุเสร็จเรียบร้อยแล้ว เผอิญคุณ DELGERMAA เดินผ่านเข้ามาในห้องพอดีผมจึงถามคุณ DELGERMAA ว่า
โมชควรจะถวายพระบรมสารีริกธาตุให้ลามะที่ไหนดี คุณDELGERMAA จึงแนะนำพวกเราให้ถวายลามะภายในวัด และคุณ DELGERMAA ก็พาพวกเรา
เข้าไปในห้องๆหนึ่ง ซึ่งห้องนี้น่าจะเป็นห้องสวดมนต์ และเผอิญว่าลามะทั้ง 2รูปสนทนากับคุณอากรรณิการ์เสร็จพอดี ลามะภูริบัดจึงพาครอบครัวคุณอาเข้ามาไหว้
พระในวัด จึงเป็นโอกาสดีที่พวกเราตัวแทนทั้ง 5คน ร่วมถวายพระบรมสารีริกธาตุด้วยกันทั้งหมดไว้ที่หมู่บ้าน BORNOR
แห่งนี้ อ้าว!.....ท่านผู้อ่านร่วมอนุโมทนาสาธุด้วยกันนะครับ “อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ^^”
ปราโมช คุณอาเจริญและคุณอากรรณิการ์ ร่วมถวายพระบรมสารีริกธาตุแก่ลามะภูริบัดและรองพระสังฆราช
นักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมวัดมีโอกาสร่วมรับพรจากลามะกันทุกคน "อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ"
หลังจากถวายพระบรมสารีริกธาตุเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากวัดแห่งนี้มีพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กที่ลามะภูริบัดเคยรวบรวมสิ่งของต่างๆ ท่านลามะจึง
พาพวกเราทั้งหมดเยี่ยมชมสิ่งของต่างๆ มีทั้งสมุนไพร ก้อนหิน แร่ธาตุ กระดูกสัตว์ ฟอสซิล ขนสัตว์ต่างๆ เขาสัตว์ อาวุธโบราณเช่น หัวลูกศร
ดาบ หัวหอก ชุดนักรบสมัยเจงกีสข่าน และกะโหลกไดโนเสาร์ ท่านลามะพวกพวกเราเข้าชมทีละห้องๆ จนถึงห้องสุดท้าย เห็นแล้วขนลุกสุดๆ
เพราะเป็นห้องที่เก็บกะโหลกมนุษย์ซึ่งเป็นกะโหลกของลามะในที่ถูกฆ่าตายในปี 1936และมีเยอะมาก......ทำไมลามะสมัยนั้นถึงถูก
ฆ่าตายมากมายเพียงนี้ ผมจะเฉลยให้ฟังในอีก 2 ตอนข้างหน้านะครับ
คุณ DELGERMAA และลามะภูริบัดพาพวกเราเข้าชมห้องต่างๆที่ลามะภูริบัดรวบรวม โบราณวัตถุ เขาสัตว์ ซากฟอสซิสต่างๆทั้งที่มาจากประเทศมองโกเลียและ ต่างประเทศเพื่อการศึกษาครับ
ส่วนภาพสุดท้ายปราโมชกำลังแผ่เมตตาให้แก่ลามะที่ถูกฆ่าตายช่วงประมาณปี
1936 ครับ
ชาวบ้านในหมู่บ้านนี้นิยมใช้ม้าเป็นพาหนะในการเดินทางครับ
เมื่อการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์เสร็จสิ้น คุณคิมพาพวกเราทั้งหมดไปรับประทานอาหารกลางวันที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดนี้ คุณคิมพา
พวกเราทั้งหมดเข้าไปในห้องรับแขกของบ้านหลังนี้ซึ่งที่ห้องรับแขกมีเตียงนอนด้วย นั่นหมายความว่าห้องนอนกับห้องรับแขกเป็นห้องเดียวกัน
บ้านของชาวมองโกเลียมีขนาดไม่ใหญ่และมีแค่ชั้นเดียว ไม่มีการต่อท่อน้ำเข้าไปในบ้านและไม่มีห้องน้ำภายในบ้านเลย ห้องน้ำอยู่นอกบ้าน
ทุกหลัง ไม่มีเตาแก๊ส ไม่มีตู้เย็น ประชาชนที่นี่นิยมใช้เครื่องซักผ้าแบบเปิดฝาบน ฐานะของชาวชนบทในมองโกเลียไม่ได้ดูที่ขนาดของบ้านว่า
ใหญ่โตหรือไม่แต่ดูที่อาณาเขตของบ้านที่ล้อมรั้วไว้ ใครที่มีที่ดินกว้างว่าก็แสดงว่ามีฐานะมากกว่า
ระหว่างที่พวกเรารออาหารมื้อแรกแห่งการมาเยือนประเทศมองโกเลีย คุณคิมพาคุณตาคุณยายซึ่งเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้เข้ามารับประทาน
อาหารกับพวกเราด้วย คุณตาคุณยายทั้งสองท่านเป็นบิดา มารดาของท่านลามะภูริบัด และบ้านหลังนี้ก็เป็นบ้านเกิดของลามะนั่นเอง อาหาร
ค่อยๆถูกเสิร์ฟโดยผู้หญิงท่านหนึ่ง ซึ่งคุณคิมแนะนำให้พวกเราทราบว่า ผู้หญิงคนนี้คือลูกสาวของคุณตาและคุณยาย และเป็นน้องสามีของคุณคิม
เลยทำให้ผมพึ่งจะรู้ว่าคุณคิมเป็นภรรยาของลามะภูริบัดนี่เอง
อาหารมื้อแรกที่พวกผมได้ทานกันมี โยเกิตแท่ง (Eerzgii) เนยแข็ง (Roaa Aarol) แผ่นเนยทอดแช่น้ำนม
(Khailmag) ขนมปังก้อนแข็งเป๊กพร้อม Salami (เป็น Salami แบบเดียวกับพิซซ่า) ก๋วยเตี๋ยวน้ำแบบมองโกเลีย
(เส้นบะหมี่แบนมีเนื้อและมันเทศ) แถมด้วยกิมจิอาหารประจำชาติของคุณคิม ส่วนเครื่องดื่มมี 2 อย่าง อย่างแรกคือวอดก้า กระดกแก้วเพรียวๆ
กับคุณตาพอเป็นพิธีซัก 2 จอกครับ ส่วนเครื่องดื่มอย่างที่สองคือ น้ำแร่ธรรมชาติ พอดื่มเข้าไปแล้วเหมือนดื่มโซดาเลยเพราะซ่าเหลือเกิน
คุณคิมบอกว่าน้ำแร่ที่นี่จะมีแร่ธาตุชนิดหนึ่งซึ่งทำให้น้ำแร่ชนิดนี้ความซ่ามาก
ถ่ายภาพหมู่กับคุณพ่อคุณแม่ของลามะภูริบัด
ภาพที่สองคือ แตงกวาดอง
ภาพที่3คือขนมปังก้อนแข็งเป๊กและทอฟฟี่
ภาพที่4 คือ แผ่นเนยทอดแช่น้ำนม (Khailmag) รสชาติหวานมัน
ภาพที่5 คือ Salami
ภาพที่6 คือ กิมจิ
ภาพที่7คือ โยเกิตแท่ง (Eerzgii) และเนยแข็ง (Roaa Aarol)
ส่วนก๋วยเตี๋ยวน้ำแบบมองโกเลีย (เส้นบะหมี่แบนมีเนื้อและมันเทศ)ไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้เนื่องจาก ผมหิวจัดจึงรีบซัดเข้าท้องจนหมดทันทีเลยลืมนึกไปว่าต้องถ่ายรูปเก็บไว้ด้วยอ่ะ
ผมเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าทุกครั้งที่ผมและโมชทักทายผู้คน ณ.ที่แห่งนี้ เราทั้งสองจะทักทายด้วยการยกมือไหว้ สวัสดี กับทุกคน แต่เอ๊ะ!
แล้วทำไมพวกเราไม่ทักทายชาวมองโกเลียเป็นภาษามองโกเลียล่ะ ผมจึงถามคุณคิมว่า คำว่าสวัสดีในภาษามองโกเลียพูดอย่างไร
“SAIN BAINAU” อ่านว่า ซานบายเหนอะ เป็นคำที่จำยากมากสำหรับผมและโมชในช่วงแรก แต่เราทั้งสองก็พยายามที่จะทักทาย
คำนี้กับชาวมองโกเลียทุกครั้งจนจำคำนี้ได้ขึ้นใจเลยทีเดียว
หลังจากที่อิ่มหนำสำราญกันเรียบร้อยแล้ว พอหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน คุณคิมพาผมและโมชเข้าไปนอนในกระโจมซึ่งอยู่
หน้าบ้านของคุณตาคุณยายนี่เอง ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านคงรู้จักกระโจมของชาวมองโกเลียผ่านละครเรื่องเจงกีสข่านที่ถ่ายทอดผ่านช่องไทยพีบีเอส
พอผมได้หลับนอนในกระโจมหลังนี้แล้วอยากจะบอกกับทุกท่านว่า กระโจมน่านอนมาก อากาศภายในกระโจมไม่ร้อนเลยทั้งๆที่เป็นช่วงบ่าย
แดดเปรี้ยงๆเลย ลักษณะด้านในของกระโจมจะมีเตาเผาฝืนและปล่องระบายควันอยู่ตรงกลางของกระโจม ส่วนผนังของกระโจมทำด้วย
หนังสัตว์ ประตูทางเข้าสูงเพียงเมตรเดียวเอง มีผ้าใบรองพื้นภายในกระโจม ถึงแม้ว่ากระโจมแบบนี้จะไม่มีหน้าต่างระบายอากาศแต่บริเวณ
ขอบล่างของกระโจมโดยรอบนี้สามารถพับผ้าใบขึ้นมาเพื่อระบายอากาศได้
ภายในกระโจมที่ผมเข้าไปนอนเอาแรงครับ ประตูทางเข้าเตี้ยมั่กๆ ถ้าสังเกตตรงประตูทางเข้า ผ้าในจะถูกยกขึ้นมาหน่อยนึงเพื่อระบายอากาศ
และ ตรงยอดของกระโจมก็มีรอระบายอากาศด้วยครับ
ครึ่งชั่วโมงผ่านไปคุณอาเจริญเข้ามาปลุกผมและโมชเพื่อเข้าชมการแข่งขันมวยปล้ำประจำหมู่บ้านเนื่องในเทศกาล
NADAAM FESTIVAL บริเวณจัดการแข่งขันมวยปล้ำเป็นเพียงลานหญ้าโล่งๆและมีเต้นท์ล้อมรอบให้ผู้คนในหมู่บ้านและ
นักท่องเที่ยวเข้ามานั่งชม สำหรับกติกาการแข่งขันมวยปล้ำในเทศกาล NADAAM FESTIVAL นั้นง่ายนิดเดียว เพียงแค่จับทุ่มคู่ต่อสู้
ให้หลังแตะพื้นโดยไม่มีการชก เตะ หรือตบใดๆทั้งสิ้น ใช้เพียงไหวพริบ ความแข็งแกร่งและความเร็วในการท่ามคู่ต่อสู้ ก็คล้ายๆกับกีฬามวย
ปล้ำที่ใช้แข่งในกีฬาโอลิมปิกนี่แหละครับเพียงแต่ไม่มีเส้นแบ่งเขต แต่แตกต่างจากมวยปล้ำเพื่อความบันเทิงอย่าง SMACK DOWN และ
RAW ZONE โดยสิ้นเชิงเลยนะครับ
ผู้แข่งขันจะต้องรำไหว้เทพเจ้าก่อนเริ่มการแข่งขัน โดยท่าไหว้ของผู้แข่งขันทั้งสองจะเหมือนกับท่านกบิน
บนลานหญ้าที่ใช้ในการแข่งขันจะมีนักกีฬามวยปล้ำเข้ามาปล้ำในเวลาเดียวกันหลายคู่ โดยมีกรรมการคอยตัดสินในแต่ละคู่ซึ่งเป็นผู้อาวุโสคอยกำกับดูแล การแข่งขันไม่มีเวทีหรือเส้นแบ่งเขตใดๆทั้งสิ้น ไม่มีเวลากำหนด นักกีฬาคนใดที่ปล้ำแพ้ก็จะตกรอบทันที ส่วนนักกีฬาที่ชนะก็จะไปนั่งพักผ่อนรอคู่ต่อสู้ที่ชนะจากคู่อื่นมาเจอกัน เมื่อปล้ำเสร็จคู่หนึ่ง นักกีฬาอีกคู่จะลงมาที่สนามทันที โดยก่อนการแข่งขันนั้นคู่ต่อสู้ทั้งสองในชุดต่อสู้พร้อมหมวกทรงมองโกเลีย จะรำไหว้เทพขุนเขา ด้วยการกางแขนแล้วรำเหมือนท่านกบินเดินวนไปมาประมาณสองสามรอบ เมื่อรำเสร็จแล้วคู่ต่อสู้ทั้งสิงจเดินไปหากรรมการให้กรรมการถอดหมวกออกและเริ่มปล้ำต่อสู้กัน คู่ต่อสู้ที่ตัวเล็กใช่ว่าจะแพ้คู่ต่อสู้ที่ตัวใหญ่กว่าเสมอไป ผมเห็นหลายคู่ที่นักกีฬาตัวเล็กกว่าปล้ำชนะนักกีฬาตัวใหญ่กว่า และผู้ชมมักจะชอบเชียร์คนตัวเล็กกว่าเวลามีลุ้นปล้ำจะชนะทีไรมีเสียงเฮขึ้นมาตลอดเลย พวกผมนั่งชมการแข่งขันประมาณครึ่งชั่วโมงคุณคิมพาพวกเราไปเดินเล่นบริเวณโดยรอบสนามแข่งขัน และมีชาวบ้านมากมายที่สนุกกับการขี่ม้าไปมา โดยเฉพาะเด็กๆ เด็กที่นี่อายุเพียง 5 ขวบก็ขี่ม้าเป็นแล้ว ภาพชาวบ้านที่ขี่ม้าไปมาบนลานหญ้าและเนินเขาเป็นภาพหาดูได้ยากมากในเมืองไทย ผมจึงไม่รอช้ากับการถ่ายภาพโดยทันที
หลังจากที่ชมมวยปล้ำกันเสร็จแล้วคุณคิมพาพวกเราไปเดินเล่นและยิงธนูต่อ
คืนนี้พวกเราทั้งห้าไม่ได้นอนค้างที่หมู่บ้าน BORNOR ประมาณ หกโมงเย็น (แต่แสงแดดเหมือนบ่ายสามโมงเย็นของประเทศไทยเลย) คุณคิมพาพวกเรากลับไปที่วัดประจำหมู่บ้านอีกรอบเพื่อรับลามะภูริบัด จากนั้นพวกเราทั้งหมดก็มุ่งหน้าไปที่ DUGANKHAD CAMP รีสอร์ทซึ่งพวกเราควรจะได้พักในคืนแรกถ้าไม่ตกเครื่องบินที่ประเทศจีนเสียก่อน ทัศนียภาพระหว่างเดินทางไปที่รีสอร์ทแห่งนี้จะมีความต่างจากสนามบินมาที่เมือง BORNOR ตรงที่สองข้างทางผมจะเห็นลำธารเยอะมาก มีผู้คนมานั่งปิคนิกกันริมธารอยู่เป็นจำนวนมาก และผมเริ่มเห็นต้นไม้แล้ว ซึ่งเป็นต้นสน
พวกเราแวะเข้ามารับลามะภูริบัดที่วัดอีกรอบจึงมีโอกาสได้มาถ่ายรูปกับผู้เถ้าผู้แก่ และถ่ายห้องน้ำไว้ดูเล่น
ประมาณสองทุ่มพวกเราก็มาถึงที่พัก แสงแดดตอนสองทุ่มของที่นี่เหมือนห้าโมงเย็นบ้านเราเลยครับ พระอาทิตย์ในฤดูร้อนของประเทศมองโกเลียจะตกช้ามากครับ ประมาณสี่ทุ่มถึงจะลับขอบฟ้า ที่พักคืนแรกของพวกเราเป็นกระโจมแบบมองโกเลียครับ ที่นี่ไม่มีห้องอาบน้ำ คนมองโกเลียไม่นิยมอาบน้ำครับ เพราะไม่มีน้ำให้อาบเนื่องจากแหล่งน้ำขนาดใหญ่ของที่นี่มีน้อยมากครับ มีแต่ลำธารที่เกิดจากการละลายของหิมะบนยอดเขาและฤดูร้อนของประเทศนี้ก็ไม่ค่อยร้อนเลยครับ แม้ไม่มีห้องอาบน้ำให้อาบ สำหรับผมแล้วก็ไม่เป็นไรครับ แต่ผมดีใจมากที่ผมเจอส้วมชักโครกแล้วผมจึงไม่รีรอที่จะถ่ายหนักเลย เพราะไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะมีโอกาสได้ใช้ส้วมแบบชาวบ้านในวันไหนบ้าง จึงต้องรีบเคลียร์สต๊อกในลำไส้ใหญ่ออกไปให้หมดอ่ะครับ^^
ถึงที่พักแล้วจ้า!!!! พระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า พระจันทร์ก็เลยขึ้นแทน พระจันทร์ช่วงวันวิสาขบูชางดงามยิ่งนัก พระจันทร์ที่นี่ดวงโตกว่าเมืองไทยเยอะเลยอ่ะ
อาหารมื้อเย็นของพวกผมครับ และก่อนนอนพวกเรามาเผาฝืนนอนในกระโจมกัน^^
ติดตามชมสองเงาในมองโกเลียตอนที่๗ได้เร็วๆนี้นครับ