เช้าวันที่ 17 กรกฎาคมผมตื่นขึ้นอย่างสบายเนื้อสบายตัวแม้ว่าคืนก่อนผมไม่ได้อาบน้ำเลยอาจเป็นเพราะอากาศที่เย็นสบายทำให้ผมไม่ค่อยจะเหนียวตัวซักเท่าไหร่มีเพียงหน้ามันแผลบๆเท่านั้นเอง ผมปลุกโมชให้ตื่นขึ้นมากินข้าวเช้าแต่เจ้าโมชเพื่อนผมช่างปลุกยากปลุกเย็นจริงๆปลุกยังไงก็ไม่ยอมตื่นจนผมต้องเอ็ดขึ้นมาว่าอย่าให้ผู้ใหญ่รอทานข้าว มันดูไม่ดี โมชเพื่อนรักจึงยอมสะดุ้งลุกออกจากเตียง
“เมื่อคืนหลับสบายเลยว่ะ แหม....หลับสบายจนไม่ยอมตื่นเลยนะ” ผมแซว
“หลับสบายอะไรล่ะ นอนไม่หลับทั้งคืนเลย” โมชพูดพร้อมหาว
“อ้าวทำไมล่ะ อากาศก็ดี เมื่อคืนหนาวยังไงก็มีเตาพิงไฟนี่หน่า”
“เมื่อคืนโคตรหนาวเลย เราต้องบริกรรมว่า หนาวหนอ หนาวหนอ หนาวหนอ ทั้งคืนเลย”
“อ้าวแล้วทำไมเมื่อนคืนนอนไม่ห่มผ้าล่ะ ผ้าห่มที่นี่อุ่นจะตาย”
“เราห่มแล้ว.....นี่ไง”
ผมดูผ้าห่มที่โมชห่มแล้วอยากจะหัวเราะท้องกลิ้ง เพราะผ้าที่โมชห่มนอนนั้นไม่ใช่ผ้าห่มแต่เป็นผ้าบางๆที่ใช้คลุมเตียงอีกที ส่วนผ้าห่มผืนจริงนั้นโมชนอนทับอยู่เพราะเข้าใจผิดว่าผ้าห่มผืนจริงนั้นเป็นผ้าที่ใช้คลุมเตียงเฉยๆ เมื่อโมชมารู้ทีหลังว่าผ้าที่นอนทับอยู่นั้นเป็นผ้าห่ม....... โมชแทบจะทำหน้าเซ็งไปเลย
เช้านี้คุณคิมพาพวกเราทั้ง 5 คนไปขี่ม้าชมรีสอร์ทโดยรอบ ขอบอกว่าอากาศดีสุดยอด ลองจินตนาการดูนะครับ การนั่งบนหลังม้าที่ค่อยๆเดินบนทุ่งหญ้าสีเขียวสดของฤดูร้อน ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าใส สีเขียวและสีฟ้าตัดกันให้เห็นอย่างชัดเจน ณ เส้นขอบฟ้าของทิวเขา ข้างซ้ายเป็นเนินเขามีฝูงแกะ แพะเล็มยอดหญ้าอ่อนๆอย่างสบายใจ ฝั่งขวาเป็นป่าสนซึ่งมีนกอินทรีย์บินผ่านไปผ่านมาพร้อมเสียงร้อง มองไปข้างหน้าเห็นรีสอร์ทอีกหลังหนึ่งซึ่งมีกระโจมเรียงราย เป็นอย่างไงบ้างครับบรรยากาศที่ผมลองให้จินตนาการดู หากผู้ใดพาแฟนมาขี่ม้าในสถานที่แบบนี้คงโรแมนติกไปอีกแบบ ยิ่งเมื่อคืนวานอากาศหนาวๆแต่ฟ้าเปิดเห็นพระจันทร์เต็มดวงสีหลืองสว่างสดใสเห็นเงาป่าสนและกระโจมอีกฝั่งหนึ่งของรีสอร์ท....อื้อหือ.... โรแมนติกจริงๆ แต่สำหรับผมแล้ว.....ผมสนุกกับการขี่ม้ามากแต่ไม่อยากตัวดำอ่ะ กลับมาเมืองไทยรอบนี้ผมตัวดำขึ้นเยอะเลยจากที่ดำอยู่แล้วT_T
ผมและโมชไม่เคยขี่ม้ามาก่อนเลยในชีวิตจึงต้องมีคนจูงม้าให้ม้าของผมและโมชเดิน สำหรับการบังคับทิศทางของม้านั้นไม่ยากเลยแค่ดึงเชือกที่ผูกติดกับตะกร้อหุ้มปากของม้าไปทางซ้าย ม้าก็จะหันหน้าและเลี้ยวไปทางซ้าย หากดึงเชือกไปทางขวา ม้าก็จะหันน้าและเลี้ยวไปทางขวา ถ้าจะเบรกก็ดึงเชือกมาข้างหลัง ถ้าจะเร่งความเร็วก็เอาแซ่ตีที่ตูดม้า แต่ผมไม่ทำนะเพราะนอกจากกลัวมันเจ็บแล้ว ยังกลัวม้าพยศด้วย เดี๋ยวตกหลังม้าเป็นอัมพาตได้
กองหินที่เห็นในรูปคือที่ฝังศพของชาวมองโกเลียครับ โทษทีที่ไม่ได้ถ่ายเต็มๆมาให้ดูนะ
คนนำทางพาพวกเราขึ้นไปบนเนินเขายอดหนึ่งซึ่งบนยอดนั้นมีกองหินขนาดต่างถูกวางกองขึ้นมาและมีไม้ที่มีผ้าสีน้ำเงินและสีเหลืองผูกอยู่ปักตรงกลางของกองหิน คนนำทางพาพวกเราเดินวนรอบกองหิน 3 รอบจึงพาพวกเรากลับรีสอร์ท ผมถามคุณอากรรณิการ์ว่ากองหินที่อยู่บนยอดเขานั้นคืออะไร คุณอาบอกกับผมว่า กองหินเหล่านั้นคือที่ฝังศพโดยนำกองหินมาวางทับบนศพ ชาวมองโกเลียมีความเชื่อว่าร่างกายเกิดจากธรรมชาติ ดังนั้นเมื่อตายไปก็คืนร่างให้กับธรรมชาติ โดยให้สัตว์ต่างๆมาคุ้ยกองหินและแทะกินศพไปได้เลย ผมเกิดความสงสัยขึ้นมาทันทีว่าทำไมชาวมองโกเลียไม่ฝังศพ ทั้งๆที่การฝังศพก็เป็นการคืนร่างให้กับธรรมชาติมิใช่หรือ สำหรับความเชื่อของชาวมองโกเลียเชื่อว่าคนได้กินได้ใช้สัตว์ต่างๆเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นเมื่อชาวมองโกเลียตายไปก็ควรจะให้ศพเป็นอาหารของสัตว์บ้าง
ที่นี่มีนกอินทรีย์เยอะมากเลยครับ ขี่ม้าไปดูนกอินทรีย์บินโฉบไปโฉบมาด้วยก็เป็นอะไรที่แปลกดี และไม่คาดคิดมาก่อนว่าสถานที่แห่งนี้จะมีนกพิราบด้วย อยากรู้จริงๆว่าถ้าหิมะตกแล้วนกพิราบพวกนี้จะอยู่กันอย่างไร
สำหรับโปรแกรมเดิมของเช้าวันที่ 17 ถูกเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 18 แทนดังนั้นโปรแกรมของวันที่ 17 นี้จึงไม่มีอะไรมากนอกจากเดินทางไปเมืองหลวงของมองโกเลียหรือ อูลาบาตอร์นั่นเอง ซึ่งก่อนจะกลับคุณคิมพาพวกเราไปดูแข่งม้า ซึ่งเป็นการแข่งม้าในวันสุดท้ายของงานเทศกาล NADAAM (จำได้ไหมครับที่ผมเคยบอกว่า NADAAM FESTIVAL มี 3วัน) สำหรับสถานที่แข่งม้านั้นจะไม่ใช่สนามแข่งม้าแบบสนามม้านางเลิ้งบ้านเรา แต่เป็นทุ่งหญ้าเนินเขาสุดลูกหูลูกตา
แม้ไม่ได้ดูชาวบ้านแข่งม้ากันจริงๆก็ขอถ่ายรูปเล่นแก้ขัดไปก่อนล่ะกัน ส่วนสาวรูปแรกไม่ใช่ชาวมองโกเลียนะ แต่เป็นคนเกาหลีครับ
น่าเสียดายที่พวกผมไม่มีโอกาสดูการแข่งขันม้า เห็นแต่ม้าแข่งจำนวนหลายร้อยตัวเพราะการแข่งขันจะเริ่มเวลาประมาณบ่าย สองโมง แต่เวลาที่พวกผมมาถึงสถานที่จัดการแข่งขันนั้นเป็นเวลาประมาณเที่ยงตรง เพื่อไม่ให้เสียเวลาเดินทางกลับเมืองหลวง คุณคิมจึงตัดสินใจให้พวกเราถ่ายรูปเล่นซักครู่หนึ่งจากนั้นก็เริ่มออกเดินทางไปอูลาบาตอร์ทันที (น่าเสียดายจัง ผมเลยอดเห็นการแข่งม้าเลยว่าเป็นยังไง)
ระหว่างเดินทางไปเมืองอูลาบาเตอร์มีสัตว์เยอะแยะมากมายอยู่ริมถนนและลำธาร
การเดินทางจากหมู่บ้าน BORNOR ไปเมืองอูลาบาเตอร์นั้นใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง จึงไม่แปลกที่ผมจะหลับๆตื่นๆตลอดทาง ส่วนโมชเพื่อนผม...คุณผู้อ่านไม่ต้องเดาก็คงรู้ใช่ไหมครับว่าหลับยาวตลอดทางเหมือนเดิม ผมหลับๆตื่นๆได้ซักพัก ต่อมขี้เกียจของผมก็เริ่มสั่งการให้งีบยาวไปเลย เพราะทัศนียภาพระหว่างทางที่ผมได้เห็นก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่เลย มีเพียงเนินเขาเขียว ท้องฟ้าใส และฝูงสัตว์
ร่างกายผมสะดุ้งตื่นขึ้นเมื่อคนขับแตะเบรกรถยนต์ เป็นครั้งแรก ตาผมค่อยๆเปิดขึ้น ภาพแรกที่ผมเห็นคือถนน รถเยอะแยะมากมายและคนเดินถนนข้ามไปมาอย่างขวักไขว่ ผมหันหน้าไปทางขวาอย่างสลึมสลือ เป็นรถเมล์ร้อนที่มีคนนั่งๆยืนๆเต็มคันรถเหมือนเมืองไทยเลย ผมหันหน้าไปทางซ้ายเป็นบ้านเรือนตึกแถวเรียงรายตลอดเส้นทาง ผมหันหน้าตรงมาเหมือนเดิมเห็นการจราจรที่ติดขัด รถเยอะแยะมากมายแทบไม่ขยับเขยื้อนเลย จากนั้นร่างกายผมก็ค่อยๆตื่นตัวขึ้นเพราะ แสงแดดตอนบ่ายสองที่ส่องเข้ามาในรถ อีกทั้งแอร์ในรถก็ไม่เย็นเลย (ประมาณว่าน้ำยาแอร์กำลังจะหมดประมาณนั้น) ทำให้ผมแทบจะหลอมละลายในทันที ร้อนมากๆๆ ร้อนจนนอนต่อไม่ได้แล้ว แต่...เพื่อนผม...เจ๋งมาก...นอนได้เหมือนเดิม พอไฟเขียวปุ๊ปตัวผมก็สะดุ้งทันที ผมไม่ไดสะดุ้งเพราะรถออกตัววิ่งนะครับ แต่สะดุ้งเพราะเสียงบีบแตร์ไล่กันของรถเกือบจะทุกคันที่บี้ให้คันข้างหน้ารีบๆไป
รถค่อยๆเคลื่อนตัวไปจนในที่สุดพวกเราก็มาถึงโรงแรม 5 ดาวของที่นี่ที่มีชื่อว่า อูลาบาตอร์โฮเทล (แต่ประมาณสี่ดาวของบ้านเราเอง) สิ่งแรกที่ผมทำเมื่อมาถึงห้องพักเลยคือ การอาบน้ำ ระหว่างที่ผมกำลังจะเข้าห้องน้ำ ก็มีคนเคาะประตูห้อง.... เป็นคุณคิมนี่เอง คุณคิมบอกกับพวกผมว่า เย็นนี้คุณคิมจะพาครอบครัวคุณอากรรณิการ์ไปพบกับเจ้าของรถ LEXUS ซึ่งเป็นเศรฐินีเจ้าของสัมปทานบ่อน้ำมันแห่งหนึ่ง คุณคิมจึงถามพวกผมว่าสนใจจะไปกับคุณคิมไหมหรือว่าจะเที่ยวในเมืองแทน.... คำถามนี้ตอบแบบไม่ต้องคิดเลย.... พวกผมเลือกเที่ยวในเมืองกันเองครับ
โชคดีที่ไปรษณีย์กลางอยู่ใกล้กับโรงแรม ผมจึงใช้ช่วงเวลานี้วิ่งไปที่ไปรษณีย์กลางเพื่อเขียนโพสการ์ดมาให้เพื่อนผมที่เกาหลีกับที่เมืองไทย ข้างในอาคารของไปรษณีย์กลางมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากมาย มีทั้งประเภทมากับทัวร์ แบ๊กแพ๊คเกอร์ มาเที่ยวกันเองก็มี ประเทศนี้ก็เป็นประเทศที่มีชาวต่างชาติมาท่องเที่ยวเยอะเหมือนกัน เมื่อผมทำธุระที่นี่เสร็จก็รีบวิ่งกลับมาที่ห้องพักทันที
เมื่อประมาณช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ประเทศมองโกเลียมีข่าวจลาจลที่แพร่สะพัดไปทั่วโลก การจลาจลตอนนั้นเกิดจากการที่ประชาชนกลุ่มหนึ่งไม่พอใจผลการเลือกตั้งประธานธิบดี และเกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันว่ามีการโกงการเลือกตั้งเกิดขึ้น ประชาชนหลายพันคนออกมาชุมนุมประท้วงบริเวณหน้าลานที่ว่าการเมืองอูลาบาตอร์ การชุมนุมประท้วงครั้งนั้นรุนแรงมากถึงขั้นทำลายข้าวของต่างๆและเผาอาคารสำนักงานแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ข้างๆที่ว่าการเมืองอูลาบาเตอร์และข้างๆโรงแรมที่ผมพักด้วยเช่นกัน ผมเห็นสภาพตึกที่ถูกเผาแล้ว ขอบอกคำเดียวว่า เยินเหลือเกิน
หน้าตึกที่ว่าการเมืองอูลาบาตอร์มีอนุสาวรีย์เจงกีสข่านขนาดใหญ่มาก ตั้งตระหง่านอลังการเหลือเกิน และมีรูปปั้นทหารม้าองค์รักษ์อีกฝั่งริมบันไดทางขึ้น ชาวมองโกเลียนับถือเจงกีสข่านเสมือนเทพแม้กระทั่งธนบัตรก็มีรูปเจงกีสข่าน ผมและโมชถ่ายรูปเล่นบริเวณหน้าลานที่ว่าการเมืองอูลาบาตอร์ได้ซักพักก็ตัดสินใจเดินไปตามถนนใหญ่และหาข้าวเย็นกินด้วย
สถานที่บริเวณนี้เป็น City Hall ครับ มีรูปปั้นเจงกีสข่านอยู่ข้างหน้าตึกเลย
อาคารพาณิชย์ของเมืองนี้ส่วนใหญ่จะสูงประมาณ3-4 ชั้นและเป็นอาคารที่มีสถาปัตยกรรมแบบรัสเซีย(เสียดายที่ผมไม่ได้ลืมถ่ายภาพเก็บมาให้ดูกัน) เพราะประเทศนี้เคยตกเป็นอาณานิคมของโซเวียตมาก่อน ผมสังเกตุเห็นประชาชนที่เดินผ่านไปผ่านมาบนท้องถนน ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยใส่แว่นสายตากันเลย... จริงๆนะ....ดังนั้น ผมจึงเดาเอาเองว่าการศึกษาของชาวมองโกเลียอาจจะมีไม่สูงมาก แต่คนส่วนใหญ่ของที่นี่จะใส่แว่นกันแดดกัน ก็คงไม่แปลกเพราะแดดที่นี่แรงมาก ฤดูร้อนของประเทศนี้เจอแดดยาวนานถึง 16-17 ชั่วโมง ด้วยเหตุนี้คนที่นี่จึงนิยมใส่แว่นกันแดดกัน รถโดยสารของที่นี่มี 2 แบบคือ รถเมล์ร้อน และรถราง ซึ่งรถโดยสารทั้งสองอย่างต่างก็มีผู้โดยสารใช้บริการเป็นจำนวนมาก ผมเห็นรถที่วิ่งผ่านไป ผ่านมานั้น แทบทุกคันจะต้องมีคนยืนเบียดเสียดกัน
นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติส่วนใหญ่ที่มาประเทศนี้เป็นชาวเกาหลีครับ และนักลงทุนชาวต่างชาติส่วนใหญ่ก็เป็นชาวเกาหลีเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ผมจึงเห็นโรงแรม ร้านอาหารเกาหลี รถยนต์ฮุนได อยู่เป็นจำนวนมาก ผมและโมชเดินหาร้านอาหารแบบธรรมดาถูกๆ หรือร้านอาหารแบบมองโกเลียเลย แต่เดินหายังไงก็ไม่เจอ ไม่รู้ว่าย่านที่ผมเดินเป็นย่านที่เจริญที่สุดของมองโกเลียหรือเปล่า ผมเจอแต่ร้านกาแฟ ร้านเหล้า ร้านอาหารฝรั่ง ร้านอาหารเกาหลี จะหาร้านอาหารท้องถิ่นราคาถูกๆให้คนท้องถิ่นกินไม่มีเลย..... อ๋อ ลืมบอกไปอย่างหนึ่งที่นี่มีร้านขายบุหรี่เยอะมากเช่นกัน ซึ่งร้านที่ขายมีอยู่สามแบบ คือ 1. ขายบุหรี่ในร้านสะดวกซื้อ 2. ตั้งโต๊ะขายกันริมถนนเลย 3. ผมจะเรียกว่ายังไงดี คุณผู้อ่านเคยเห็นซุ้มขายขนมเล็กๆตามมหาวิทยาลัยไหมครับ แต่ที่นี่ผมขอเรียกว่าซุ้มบุหรี่ล่ะกันเพราะกระจกหน้าต่างของซุ้มร้านแบบนี้จะมีแต่บุหรี่วางเรียงตั้งไว้จนแทบมองไม่เห็นข้างในซุ้มเลย อย่างไรก็ตามซุ้มบุหรี่นี้ก็มีขายขนม น้ำเช่นกัน
พวกเราใช้เวลาเดินหาร้านอาหารกันนานโขเลยทีเดียว แต่ท้ายที่สุดพวกเราก็พบร้านอาหารฟาสฟู้ดร้านหนึ่ง ความหิวจัดผนวกกับการเสียเวลาเดินหาร้านอาหารที่ต้องการไม่เจอซักที ทำให้เราสองคนยอมแพ้และเลือกกินอาหารฟาสฟู้ดทันที ร้านนี้มีชื่อว่า KTP FAST FOOD คนขายเป็นสาวน่ารัก 4 คนแต่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลยซักคน เมื่อพิจารณาเมนูเป็นที่เรียบร้อยแล้วพวกผมก็สั่งอาหารทันที สะโพกน่องไก่ย่างราคา 4,000 ทุกรุก ชุดเบอเกอร์ไก่ราคา 3,500 ทุกรุก น้ำเปล่าขวดล่ะ 400 ทุกรุก โค้กไม่มีน้ำแข็ง 1 แก้ว 500 ทุกรุก(คนที่นี่ไม่นิยมกินน้ำแข็ง) พิซซ่าราคา 1,000 ทุกรุก แปลกใจไหมครับว่าทำไมพิซซ่าถึงราคาถูกกว่าแฮมเบอเกอร์ สำหรับผมไม่แปลกใจเลย เพราะพิซซ่าที่ผมกับโมชกินนั้น คุณภาพเหมือนพิซซ่าที่ขายในตลาดสดบ้านเราเลย อ้อลืมบอกไปว่า 1,040 ทุกรุกเท่ากับ 1 ดอล์ล่าร์ครับ
อาหารมื้อค่ำของพวกเรา
ระหว่างที่ผมรับประทานมื้อค่ำโดยไม่สนใจรสชาติ แม้พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน (สองทุ่มแล้ว) ผมเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งแต่งตัวมอมแมมเดินเข้ามาในร้านและพูดคุยกับคนขายเหมือนจะรู้จักกัน ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร ยังคงกินแฮมเบอเกอร์ของผมต่อไป กินจนเหลือแต่พิซซ่า 1,000 ทุกรุกที่ทั้งผมและโมชไม่ค่อยประทับใจในรสชาติเลย ขณะที่ผมหยิบโค้กขึ้นมาดูดได้ 2 อึก จู่ๆเด็กผู้ชายคนนั้นก็เดินเข้ามาที่โต๊ะของพวกผมพร้อมขนมเค้ก ชิ้นที่เจ้าของร้านเอาให้กิน เด็กคนนั้นพูดภาษามองโกเลียกับพวกผมพร้อมยื่นขนมเค้กมาให้ ผมและโมชต่างก็เข้าใจว่าเด็กคนนี้ยื่นเค้กมาให้พวกผมกิน ผมและโมชต่างก็ปฏิเสธความใจดีของเด็กคนนั้นไป จากนั้นเด็กน้อยคนนี้ก็ชี้มาที่โค้กกับพิซซ่าและพูดภาษมองโกเลียอีกแล้ว ผมและโมชต่างก็เข้าในทันทีว่าเด็กจะมาขอกิน แต่ยังไม่ทันที่โมชจะเอ่ยปากเลย (กำลังเคี้ยวไก่ย่างอยู่) เจ้าเด็กคนนี้ก็รีบหยิบชิ้นเนื้อของพิซซ่าแล้ววิ่งหนีออกนอกร้านไปเลย คนขายที่เห็นเหตุการณ์ ท่านหนึ่งจึงรีบวิ่งตามเด็กคนนี้ไป
ผมนึกว่าเด็กคนนี้จะวิ่งหนีไปเลย แต่ที่ไหนได้ล่ะ แค่วิ่งออกมากินของที่ขโมยกับเค้กหน้าร้านนี่เอง ส่วนคนขายที่วิ่งตามไปก็มิได้วิ่งไปจับหรือตีเด็ก แต่พูดอบรมสั่งสอนเด็กคนนั้นอยู่หน้าร้านแทน ผมรู้สึกว่าคนขายท่านนี้คงจะสงสารเด็กมาก เพราะเธฮพยายามพูดอบรมสั่งสอนเด็กคนนี้อย่างเอาจริงเอาจัง แต่เจ้าเด็กคนนี้ก็ไม่สนใจฟังเลยเอาแต่กินเค้กหน้าระรื่นอย่างเดียว
“เด็กคนนั้นมันหิวเฉยๆ มันไม่ใช่เด็กเลวหรอก ถ้ามันจะเอาอะไรมันคงเงินไปแล้วล่ะ” โมชเอ่ยขึ้นมาขณะที่ผมดูคนขายกำลังอบรมเด็กอยู่ และเหตุผมที่โมชพูดก็น่าจะจริงเพราะบนโต๊ะที่กินข้าวโมชวางเงินไว้ประมาณ 10,000 ทุกรุกและวางไว้ข้างๆจานพิซซ่าเลย
ผมเห็นเด็กคนนั้นยังนั่งอยู่หน้าร้านและมองเข้ามาที่พวกเราตลอดเวลา ผมเลยกวักมือเรียกเด็กให้เข้ามาเอาพิซซ่า พอเด็กเห็นผมกวักมือจึงพยายามเดินเข้ามาแต่คนขายห้ามไว้ไม่ให้เด็กเข้า ด้วยเหตุนี้โมชจึงหยิบพิซซ่าเดินออกไปให้เด็กกินเลย
นึกว่าทำดีได้ดี แต่กลับเป็นทำคุณบูชาโทษเสียแล้วเพราะหลังจากที่โมชให้เด็กกินเรียบร้อย คนขายที่อบรมเด็กคนนั้นเดินเข้ามาหาพวกเราสองคนและพยายามจะสื่อสารอะไรบางอย่างออกมาซึ่งพวกผมไม่เข้าใจ ผมได้แต่พูดคำว่า “What?” เผอิญมีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้านพอดี คนขายท่านนั้นจึงพูดคุยกับผู้ชายคนนี้เพื่อให้เป็นล่ามแปลให้พวกเราฟัง แต่ผู้ชายคนนั้นก็พูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อยและพยายามอธิบายให้พวกเราฟังว่าเด็กคนนี้อันตรายมากๆ เป็นพวกอันธพาล
ผมและโมชต่างก็งงทันที เพราะเจ้าเด็กตัวกระเปี๊ยกสูงแค่ ไหล่โมชเนี่ยนะ เป็นอันธพาล และพวกผมก็ไม่เข้าใจด้วยว่าพวกเราไปทำอะไร เด็กคนนี้ถึงได้อันตรายสำหรับพวกเรา..... เงินก็ไม่เอา แล้วจะเอาอะไรหว่า...งง
คุณผู้ชายท่านนั้นพยายามแนะนำให้พวกเราจากร้านทางด้านหลัง ผมกวาดสายตามองคนขายทุกคน พวกเธอทั้งหมดต่างก็พยายามจะสื่อสารแบบนั้นเหมือนกัน ด้วยภาษามือที่ทำท่าเชิญพวกเราออกทางประตูหลังของร้าน ส่วนเจ้าเด็กคนนั้นก็ยืนจ้องมองพวกเราอยู่หน้าร้านแบบไม่กระพริบตาเลย
ในความเห็นส่วนตัวของผมนั้น ผมคิดว่าเด็กคนนี้ไม่น่าจะเป็นอันธพาลอย่างที่ผู้ชายคนนั้นบอก แต่คิดว่าพวกคนขายทั้งหมดต่างก็ไม่ต้องการให้เด็กคนนี้มายุ่งเกี่ยวกับพวกเราจึงพยายามให้ผมและโมชหลีกเลี่ยงไปเจอเด็กคนนี้ตอนออกจากร้าน อย่างไรก็แล้วแต่บรรยากาศในร้านแลดูตึงเครียดนิดๆเพราะสายตาของพวกเธอดูจริงจังมาก จนผมบอกโมชให้ออกทางหลังร้านตามคำแนะนำของพวกเธอ แต่เพื่อนผมปฏิเสธทันที
“จะบ้าเหรอ! ไม่รอบคอบเลยนะ ที่หลังร้านมีอะไรบ้างด้นรู้เหรอ เกิดเดินออกไปหลังร้านแล้วเกิดมีพวกมันเต็มไปหมดล่ะจะทำยังไง ตรงนี้ในร้านเราเห็นนะว่ามีอะไรอยู่หน้าร้านบ้าง”
เออ...มันก็เป็นไปได้อย่างที่เพื่อนผมว่านะครับ ถ้าสมมติที่หลังร้านมีพวกเด็กแก๊งอยู่จริงๆล่ะ อีกอย่างนึงเราจะไว้ใจคนในร้านนี้ได้เหรอ....ตอนอยู่เมืองจีนก็โดนอาหมวยหลอกซื้อหอยปิ้งไปทีนึงล่ะ
ผมและโมชจึงแกล้งทำเป็นไม่สนใจอะไร ก็นั่งเล่นกินน้ำอยู่ในร้านเพื่อรอดูสถานการณ์ต่อไป ทางฝั่งสาวๆคนขายเห็นว่าพวกผมไม่ยอมออกไปซะที จึงออกไปเจรจาต้าอ่วยกับเด็กคนนั้นอยู่ซักพักหนึ่ง จนท้ายที่สุดเด็กน้อยคนนั้นก็ยอมจากไป ผมและโมชจึงออกจากร้านได้โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นพร้อมข้อสงสัยว่าเด็กคนนั้นต้องการอะไรกันแน่
ระหว่างทางที่พวกเราเดินทางกลับที่พัก ผมและโมชแวะเข้าไปซื้อของที่ซูปเปอร์มาร์เกตในห้างชื่อดังแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า State Department Store ถ้าถามผมว่าห้างสรรพสินค้าในประเทศนี้เป็นอย่างไร ผมอยากให้ท่านผู้อ่านลองจินตนาการบรรยากาศในห้างไดมารู เซ็นทรัลสีลม หรือเมอรี่คิงส์ของบ้านเราที่ล้วนปิดกิจการลงไปแล้วทั้งสิ้น บรรยากาศเหมือนห้างเมื่อประมาณยี่สิบปีที่แล้วเลยครับ ผมเข้าไปสังเกตุราคาอาหารของที่นี่ เนื้อและนมราคาจะไม่แพงมาก แต่ถ้าเป็นผักกับผลไม้นี่ซิครับ แพงหูฉี่เลยทีเดียว ทั้งแอปเปิ้ล กีวี ลูกพีช ราคาเฉลี่ยประมาณ 2-5 ดอล์ล่าร์ ยิ่งถ้าเป็นแตงโมยิ่งแพงขึ้นไปอีก ลองคิดดูนะครับรถเข็นผลไม้บ้านเราขายแตงโมชิ้นละ 10 บาท แต่ที่นี่ขายราคา 2 ดอล์ล่าร์ขึ้นไป อีกทั้งผมไม้ที่จำหน่ายก็ไม่ใช่เกรดเอด้วย เป็นผลไม้ที่มีตำหนิเต็มไปหมด บ้างก็มีรอยช้ำ บ้างก็มีรอยดำๆอย่เป็นจำนวนมาก เหตุผลที่ราคาผักผลไม้ในประเทศนี้ค่อนข้างแพงก็เพราะว่า ประเทศนี้ทำเกษตรกรรมไม่ค่อยจะได้ ผักผลไม้เหล่านั้นจึงต้องนำเข้าอย่างเดียว นับว่าเราชาวไทยโชคดีจริงๆที่ปลูกอะไรก็ขึ้น มีอาหารการกินที่ครบทั้งห้าหมู่บริบูรณ์....จริงไหมครับท่านผู้อ่าน อย่างไรก็แล้วแต่แม้ผลไม้ที่นี่ราคาค่อนข้างแพง แต่ผมและโมชก็ตัดสินใจซื้อมากินกันอยู่ดี เพราะพวกผมไม่ได้กินผลไม้มาตั้งหนึ่งวันแล้วครับ กลัวจะเป็นท้องผูกอ่ะ
ติดตามสองเงาในมองโกเลียตอนที่ ๘เร็วๆนี้นะครับ