เช้าวันศุกร์ที่ 18 กรกฏาคม คุณคิมพาพวกเราทั้ง 5 คนไปที่ The Mongolia Institute of Buddhist Art (MIBA) ซึ่งเป็นที่ทำงานด้านพุทธศิลปของท่านลามะภูริบัด สำนักงานของท่านลามะเป็นอาคารเก่าแบบโซเวียต ซึ่งอาคารนี้อยู่ภายในวัด Gandan Monastery ซึ่งวัดที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของอูลาบาร์เตอร์
เมื่อพวกผมไปถึงห้องทำงานของลามะภูริบัด คุณคิมก็พาพวกเรานั่งที่โต๊ะรับรองพร้อมเปิดวีดีโอให้พวกเราชม วีดีโออันนี้เป็นวีดีโอที่เกี่ยวกับ MIBA และการสร้างภาพทังก้าขนาดกว้าง 12 เมตร ยาว 18 เมตร ซึ่งเป็นภาพที่สำคัญของประเทศมองโกเลียครับ...สำคัญยังไงหรือครับ.... ผมจะเล่าให้ฟัง
ด้วยพรสวรรค์ด้านงานศิลปะเชิงพุทธศิลปของลามะภูริบัดจนเป็นที่รู้จักของชาวมองโกเลีย ท่านประธานธิบดี Enkhbagr (อ่านว่ายังไงใครทราบบ้าง) มอบหมายให้ลามะภูริบัดฟื้นฟูพระพุทธศาสนานิกายวชิระญาณและประเพณีอันเก่าแก่ของมองโกเลียขึ้นมาใหม่ ดังนั้นผมขอท้าวความอะไรซักเล็กน้อยนะครับเพื่อที่คุณผู้อ่านจะได้เข้าใจถึงเหตุการณ์พอสังเขป
สวัสดีครับ ด้านหลังของผมคือวัด Ganadan Monastery ครับ ส่วนด้านหลังของโมชคือที่ทำงานของลามะภูริบัด
พระพุทธศาสนาเข้ามามีอิทธิพลกับชาวมองโกเลียเมื่อ 300 ปีก่อนคริสต์ศักราชซึ่งเป็นช่วงที่รุ่งเรืองของประเทศและเป็นช่วงขยายอาณาจักรของท่านข่านในสมัยนั้น อาณาเขตของประเทศมองโกเลียในยุคนั้นกินพื้นที่ตั้งแต่ประเทศเกาหลี ไซบีเรีย แผ่ไปถึงฮังการีและโรมาเนีย เนื่องจากชาวมองโกเลียส่วนใหญ่มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบเร่ร่อนมากกว่าการตั้งหลักปักฐาน ชาวมองโกเลียจึงมีโอกาสเดินทางไปยังดินแดนต่างๆและเก็บรวบรวมองค์ความรู้ รวมถึงเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับประเทศต่างๆ ด้วยเหตุนี้วิถีชีวิตแบบเร่ร่อนจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการนำพุทธศาสนาเข้ามาในประเทศมองโกเลีย และค่อยเลือกประยุกต์วัฒนธรรมและปรัชญาของแต่ละประเทศเอามาหลอมรวมเป็นวัฒนธรรมของมองโกเลีย
ประเทศมองโกเลียในยุคก่อนคริสต์ศักราชมีอาณาเขตที่กว้างขวางมาก แต่ปัจจุบันนี้ถูกแยกออกไปรวมกับประเทศอื่นเสียแล้ว หากจะให้แยก ก็สามารถแยกออกได้เป็น 6 ส่วนครับ
ส่วนแรกเรียกว่า มองโกเลียนอก (Ar Mongol) ซึ่งเป็นประเทศมองโกเลียในปัจจุบันนี้เอง เมืองหลวงชื่ออูลาบาเตอร์มีประชากรประมาณ 2.5ล้านคน
ส่วนที่สอง คือ มองโกเลียใน (Uvar Mongol) พื้นที่ส่วนนี้ปัจจุบันเป็นจังหวัดพรมแดนแห่งหนึ่งของประเทศจีน โดยเป็นพรมแดนที่ติดกับทะเลทรายโกบีและมีประชากรเชื้อสายมองโกเลียประมาณ 2.5 ล้านคนเช่นกัน
ส่วนที่สาม คือ มองโกเลียตอนบน (Deed Mongol) พื้นที่ส่วนนี้อยู่ในจังหวัดซินเจียง ประเทศจีน มีชาวมองโกเลียประมาณ 5แสนคน
ส่วนที่สี่ คือ Buryad Mongol อยู่ในพื้นที่ของรัสเซียใกล้ทะเลสาบ Baikal
ส่วนที่ห้า คือ Tuva Mongol อยู่บริเวณทิศตะวันตกเฉียงใต้ของรัสเซีย
ส่วนที่หก คือ KhalimagMongol เป็นพื้นที่อยู่ระหว่างทะเลดำและทะเลสาบแคสเปี้ยน
เดิมก่อนหน้าที่พระพุทธศาสนาจะเข้ามาอิทธิพลกับชาวมองโกเลียนั้นชาวมองโกเลียเชื่อว่าชนเผ่ามองโกเลียเป็นส่วนหนึ่งของพลังจักรวาล และเกิดมาจากท้องฟ้า ครั้นเมื่อพระพุทธศาสนาเข้ามาในประเทศมองโกเลียจึงทำให้ความเชื่อเก่าแก่บางอย่างและหลักการของพระพุทธศาสนาที่เน้นการพัฒนาจิตใจและปัญญาเข้ามาหลอมรวมกัน และความเชื่อทางพระพุทธศาสนาที่ถูกนำมาประยุกต์ใช้
วันเวลาผ่านไปหลายร้อยปี นักรบมองโกเลียมากมายวางอาวุธหยุดการฆ่าฟันเพื่อบวชเป็นพระเพราะศัตรูที่อยู่ในจิตใจหรือตัวเราเองนั้นย่อมเป็นศัตรูที่ร้ายกาจกว่าศัตรูภายนอก การชนะจิตใจตนเองย่อมเป็นศัตรูที่ร้ายกาจกว่าศัตรูภายนอกและการชนะจิตใจตนเองย่อมยิ่งใหญ่กว่าการขยายอาณาเขตปกครองออกไป
แม้ศาสนาพุทธในมองโกเลียช่วงเวลาหนึ่งมีความเจริญรุ่งเรืองเพียงใด ย่อมมีช่วงเวลาเสื่อมถอยของศาสนาพุทธเช่นกัน ประเทศมองโกเลียผ่านการฟื้นฟูศาสนาและวัฒนธรรมมาแล้ว 3 ครั้งซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 (ครั้งที่4 เกิดขึ้นเมื่อปี 2533) สำหรับ 3 ครั้งแรกเกิดเหตุการณ์ใดบ้างที่ทำให้ศาสนาพุทธเกิดการบูรณะนั้น มันไม่ทราบข้อมูลเลย แต่ในครั้งที่ 4 ผมพอจะทราบบ้างจากข้อมูลที่ลามะภูริบัดให้มา
ภาพแรกกับภาพที่สองคือ วันที่ลามะภูริบัดออกมากล่าวถึงความสำคัญของศาสนาพุทธในมองโกเลีย ส่วนภาพที่สามกับสี่คือ คณะทำงานของลามะภูริบัด
ก่อนคอมมิวนิสต์โซเวียตจะเข้ามาปกครองประเทศ มีพระมองโกเลียมากมายที่มีความสามารถทางด้านภาษาทั้งภาษาสันสกฤต ทิเบต แมนจู และจีน อีกทั้งมีพระปฏิบัติเกิดขึ้นมากมายในดินแดนแห่งนี้ แต่น่าเสียดายที่มรดกทางพระพุทธศาสนาของประเทศนี้มิได้แพร่ออกไปให้เป็นที่รู้จักแก่สายตาชาวโลก เพราะถูกชาวโซเวียตทำลายทิ้งไปเกือบหมดประเทศในช่วงระหว่างปี ค.ศ.1936-1938 ซึ่งเป็นช่วงที่โซเวียตเข้ามาปกครองพื้นที่บริเวณมองโกเลียนอก ทหารโซเวียตเข้ามาทำลายวัดและโบราณสถานของประเทศนี้มากมาย เหลือไว้แต่วัด Gandan Moanstery และอีกสองสามวัด สำหรับเมืองอูลาบาเตอร์ และอีกไม่กี่วัดในจังหวัดอื่นๆ นอกจากนี้ทหารโซเวียตสังหารลามะเป็นจำนวนมากรวมถึงการห้ามชาวมองโกเลียนับถือศาสนาพุทธ สาเหตุอะไรที่โซเวียตต้องฆ่าล้างลามะมากมายถึงเพียงนี้ เหตุผลก็เพราะชาวมองโกเลียในสมัยนั้นมีศรัทธาอย่างแรงกล้าต่อพระพุทธศาสนาและไม่ยอมรับการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ ดังนั้นกาฆ่าลามะซึ่งเป็นผู้นำทางศาสนามากมายเพียงใด ก็ไม่สามารถทำให้ชาวมองโกเลียเสื่อมศรัทธาในพระพุทธศาสนา ณ.ช่วงเวลานั้นได้ ถ้าถามว่าลามะที่ถูกฆ่าตายและวัดที่ถูกทำลายมีจำนวนเท่าใด ฟังแล้วน่าตกใจมากเพราะมีพระที่ถูกฆ่าตายเป็นหลักหมื่นส่วนวัดที่ถูกทำลายมีเป็นหลักพัน(เป็นจำนวนคร่าวๆของมองโกเลียในเขต Kalimag แต่ยังไม่นับรวมมองโกเลียอื่นอีก 5 เขต) นอกจากการเสื่อมลงของศาสนาแล้วความเจริญทางวัตถุที่เข้ามาในปัจจุบันก็ส่งผลต่อการฟื้นฟูพุทธศาสนาและวัฒนธรรมในครั้งที่ 4 อย่างยากลำบากสำหรับลามะภูริบัดและลามะท่านอื่นๆเลยทีเดียว
เมื่อช่วงวันวิสาขบูชาที่ผ่านมา ลามะภูริบัดมีความตั้งใจชวนคุณอากรรณิการ์และปราโมชมาร่วมงานวิสาขบูชาที่ประเทศมองโกเลีย แต่เนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นและมีโรคระบาดเกิดขึ้นที่ประเทศนี้ ลามะภูริบัดจึงตัดสินใจชวนทั้งสองมาร่วมงาน Nadaam Festivalแทน ผมจึงโชคดีมากับปราโมชได้เลย
ในวันวิสาขบูชาที่ประเทศมองโกเลียมีพิธีเฉลิมฉลองทางศาสนาเหมือนที่เมืองไทยเช่นกัน แต่ปีนี้เป็นปีที่ไม่ธรรมดาเพราะ รัฐบาลมองโกเลียให้ลามะภูริบัดเป็นแกนนำในการสร้างภาพทังก้าภาพหนึ่งขนาดกว้าง 12 เมตร ยาว 18 เมตร ซึ่งภาพทังก้าภาพนี้ถือเป็นสมบัติของประเทศเลยทีเดียวเนื่องจากเป็นภาพที่เก็บไว้ในวัด Gandan Monastery วัดคู่บ้านคู่เมืองของประเทศนี้ แต่ที่สำคัญครับท่านผู้อ่าน ภาพทังก้าภาพนี้เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของชมรมฯด้วยครับ (จำได้ไหมครับที่ผมเคยเล่าให้ฟังว่าลามะภูริบัดมาเมืองไทยแล้ว ปราโมชถวายพระบรมสารีริกธาตุแก่ลามะภูริบัด) อลังการไหมครับท่านผู้อ่าน
ภาพนี้คือวัตถุดิบต่างๆที่ใช้ในการทำภาพทังก้า ส่วนภาพที่สองนั้นหากใครสังเกตดีๆจะเห็นเป็นเจดีย์ขนาดเล็กบนผ้าสีเหลืองน้ำเงิน เจดีย์องค์นั้นคือพระบรมสารีริกธาตุที่ปราโมชถวายให้แก่ลามะภูริบัดเมื่อครั้งที่ลามะภูริบัดมาเมืองไทยครับ
ในภาพทังก้าผืนนี้ประกอบไปด้วยข่าน 3องค์นั่งอยู่บนบัลลังก์ โดยข่านที่นั่งตรงกลางคือเจงกีสข่าน ส่วนข่านอีก 2องค์ด้านซ้ายขวาผมไม่ทราบชื่ออ่ะครับ....ขอโทษที เหนือบัลลังก์ของท่านข่านเป็นรูปพญามารที่มีชื่อว่า MARA ใครเคยสวดชัยมงคลคาถาบ้าง จะมีบทหนึ่งที่กล่าวถึงพญามารผู้มีแขนมากเป็นพันกร ถืออาวุธครบมือ ขี่คชสารชื่อครีเมขละ พร้อมด้วยเสนามารโห่ร้องก้องกึก และทรงเอาชนะพญามารเหล่านั้นด้วยธรรมวิธีคือทรงระลึกถึงพระบารมี 10 ประการที่ทรงบำเพ็ญแล้ว อันมีทานบารมีเป็นต้น ครับMARA ที่อยู่ในรูปก็คือมาร ตนนั้นนั่นเองครับ ในรูป MARA ตนนี้จะสวมมงกุฏที่มีมุก 5 สี ซึ่งมุกที่อยู่ตรงกลางสีฟ้าเป็นกล่องบรรจุพระบรมสารีริกธาตุครับผม เหนือมารตนนี้ขึ้นไปจะเป็นรูปพระพุทธเจ้าและพระอวโรกิเตศวร หรือพระโพธิสัตว์อีกสององค์
วีดีโอที่ลามะเปิดให้พวกผมดูนั้น มีกรรมวิธีการทักภาพทังก้าและแหล่งที่มาของวัตถุดิบต่างๆด้วยครับ ซึ่งภาพทังก้าผืนนี้ถักทอด้วยผ้าไหมที่ลามะภูริบัดตระเวนหาซื้อที่ประเทศเกาหลีและเมืองไทยด้วยครับ และก็เป็นคุณอากรรณิการ์ท่านนี้ครับ ที่เป็นผู้พาลามะภูริบัดไปหาซื้อผ้าไหมไทย น่าปราบปลื้มใจจริงๆที่มรดกอันล้ำค่าของประเทศมองโกเลียนี้มีผ้าไหมไทยและพระบรมสารีริกธาตุจากประเทศไทยด้วย....ท่านผู้อ่านรู้สึกปิติยินดีไหมครับ? หากท่านรู้สึกปิติตามก็อย่าลืมอนุโมทนานะคร้าบ^^ .... อ๋อลืมบอกไป หากท่านผู้อ่านท่านใดสนใจวิดีโอเกี่ยวกับการทำภาพทังก้าผืนนี้เชิญติดต่อปราโมชหรือหนอนด้นได้เลยครับเพราะลามะท่านให้พวกผมเอากลับมาดูที่เมืองไทยด้วย
ส่วนวิธีการทำภาพผืนนี้ ลามะภูริบัดจะวาดรูปต้นแบบออกมาก่อน จากนั้นทีมงานตัดผ้าก็จะตัดผ้าเป็นชิ้นส่วนต่างๆ เช่น ลายเมฆก็จะตัดผ้าตามแบบรูปเมฆที่ทีมงานของลามะภูริบัดวาดเอาไว้ หรือ ใบหน้าไม่ว่าจะเป็นตา หู คอ จมูก เครื่องประดับต่างๆ ก็จะถูกตัดออกเป็นชิ้นส่วนตามภาพที่ถูกวาดเอาไว้ จากนั้นชิ้นส่วนเหล่านี้ก็จะถูกนำมาถักทอด้วยผ้าไหมเป็นสีสันต่างๆขึ้นมา เมื่อได้ชิ้นงานที่เสร็สมบูรณ์แล้วก็จะนำชิ้นงานเหล่านี้ลงมาวางบนบนผ้าผืนใหญ่ขนาดกว้าง12 เมตร ยาว 18 เมตร และเย็บติดเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาตามแบบที่ลามะภูริบัดวาดเอาไว้ ซึ่งต้องขอบอกว่างานนี้เป็นงานที่ละเอียดอ่อนมากและใช้ความอดทนบวกกับความแม่นยำในการลงลายและสีของผ้าไหมอย่างมากเลยครับ
หลังจากชมวีดีโอเสร็จแล้ว ลามะภูริบัดพาพวกเราไปเดินชมวัด Gandan Monastery วัดเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์มายาวนาน ซึ่งภายในวัดนี้มีรูปปั้นพระโพธิสัตว์อวโรกิเตศวร สูงประมาณ 20 กว่าเมตร สูงมากครับผมต้องแหงนหน้ามองประมาณ 80 องศาเชียวนะถึงจะเห็นพระพักตร์ของท่าน บริเวณด้านข้างของพระโพธิสัตว์จะมีล้อหมุนวางเรียงรายให้นักท่องเที่ยวและชาวบ้านเดินวนและหมุนล้อเหล่านี้ในขณะที่เดินเวียนวนรอบพระโพธิสัตว์ ผมไม่รู้ว่าล้อหมุนเหล่านี้ภาษาไทยเรียกว่าอะไร แต่ภาษามองโกเลียเรียกว่า Mani Hurd หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Wheel of Mantra ล้อหมุนแบบนี้มีเฉพาะนิกายวชิระญาณเท่านั้นดังนั้นหากท่านใดเคยไปทิเบตมาก่อนผมเชื่อว่าย่อมเคยเห็น Wheel of Mantra นี้เช่นกัน
ภาพทังก้าขนาดใหญ่ถูกเก็บไว้ด้านหลังของพระโพธิสัตว์อวโรกิเตศวรองค์นี้ครับ ตอนแรกผมหาเท่าไรก็หาไม่เจอ ยังคิดอยู่เลยว่าภาพใหญ่ขนาดนั้นทำไมเราหาไม่เจอ เมื่อลามะภูริบัดสั่งให้คนงานเปิดเครื่องอะไรบางอย่าง ภาพทังก้าก็ค่อยๆไหลลงมาจากเครื่องๆหนึ่งที่ม้วนเก็บภาพนี้เอาไว้ ภาพทังก้าจึงค่อยๆไหลลงมาให้พวกผมและนักท่องเที่ยวคนอื่นๆได้ชมกันเป็นบุญตา
ภาพทังก้าที่ทำเสร็จแล้วซึ่งถูกนำมาแขวนไว้หลังพระโพธิสัตว์อวโรกิเตศวร ณ.วัด Gandan Monastery ครับ
รูปแรกเป็นรูปจำลองของภาพทังก้าครับ ถ่ายมาเต็มๆให้ท่านผู้อ่านดูว่ารูปเต็มของภาพทังก้านี้เป็นอย่างไร
ส่วนภาพที่สองคือรูปพญามารหรือ MARA ที่มีพันกรขี่คชสารชื่อครีเมขละ ครับ
วัดแห่งนี้มีอาคารอยู่ 5 หลัง หลังแรกคือที่กราบไหว้พระโพธิสัตว์อวโรกิเตศวร สำหรับหลังที่ 2 และหลังที่ 4 ผมจับประเด็นไม่ได้และลืมถามคุณคิมว่าอาคารหลังที่ 2 และ 4 คืออะไรเนื่องจากผมกำลังมันมือกับการถ่ายภาพอยู่จึงเดินตามกลุ่มคุณอาช้าไปหน่อย แต่หลังที่ 3 นี้เป็นโรงเรียนสอนวาดภาพครับ และนักเรียนที่ผมเห็นมาเรียนก็เป็นเด็กสาวชาวเกาหลีมาเรียนเสียด้วย....เจ๋งจริงๆ ส่วนหลังที่ 5 คือห้องสวดมนต์ครับ พวกผมโชคดีมากครับเพราะช่วงที่พวกผมมาถึงเป็นช่วงที่ลามะต่างๆกำลังสวดมนต์พอดี ผมจึงได้เห็นบรรยากาศการสวดมนต์ครับ
อาคารสวดมนต์ของที่นี่จะแบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง ซึ่งทั้งสองฝั่งมีม้านั่งยาวให้ลามะนั่งพร้อมโต๊ะสวดมนต์ และโต๊ะทั้งสองฝั่งจะหันหน้าเข้าหากัน ตรงกลางเว้นไว้เป็นทางเดิน และมีทางเดินด้านข้างโดยรอบ ซึ่งบริเวณทางเดินด้านข้างโดยรอบนี้จะมีเก้าอี้วางเรียงรายให้ฆราวาสเข้ามานั่งฟังลามะสวด ส่วนใครที่ต้องการจะทำบุญกับลามะนั้นก็สามารถเดินไปหาลามะพร้อมถวายเงินในขณะที่ลามะกำลังสวดมนต์ได้เลย ส่วนลามะองค์ไหนหิวน้ำจะไม่มีน้ำให้ดื่มครับ แต่มีชามใส่นมม้าให้ดื่มแทน
ภาพบรรยากาศโดยรอบวัด Gandan Monastery ครับ
รูปแรกเป็นพระพุทธรูปที่อยู่ในอาคารหลังหนึ่ง ส่วนรูปที่สองเป็นด้านหน้าอาคารที่ใช้สอนวิชาศิลปะของวัดนี้ ส่วนภาพที่สามเป็นเด็กที่อุ้มน้องมาหมุน Wheel of Mantra ส่วนภาพที่สี่คือร้านอาหารมื้อเที่ยงของพวกเราครับ
"ขอโซ้ยก่อนล่ะ อิอิ"
หลังจากชมวัด Gandan Monastery เสร็จแล้วก็ถึงเวลาอาหารกลางวันพอดี คุณคิมพาพวกเราไปรับประทานอาหารเกาหลีที่มีชื่อว่า Seoul Club เพราะเป็นร้านอาหารเกาหลีนั่นเองลูกค้าส่วนใหญ่จึงเป็นชาวเกาหลี ในช่วงต้นปี ค.ศ. 1900 ชาวโซเวียตเข้ามามีอิทธิพลกับชาวมองโกเลียอย่างมาก ด้วยเหตุนี้เมืองอูลาบาตอร์จึงเต็มไปด้วยตึกเก่าสไตล์รัสเซียและรูปปั้นของผู้นำคอมมิวนิสต์ในสมัยนั้น เช่น เลนิน คาร์สมาร์ก เป็นต้น แต่มายุคปัจจุบันนี้ซึ่งประเทศมองโกเลียเป็นประชาธิปไตยแล้ว ชาวเกาหลีคือผู้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการลงทุน ทั้งภาคอสังหาริมทรัพย์ ร้านอาหาร รถยนต์ฮุนไดฯลฯ
ก่อนรับประทานอาหารทุกครั้ง ลามะภูริบัดจะสวดมนต์ก่อนทุกครั้ง พวกเราทั้งหมดจึงร่วมสวดด้วยแต่ไม่ได้สวดเป็นภาษามองโกเลียนะครับ ใครอยากสวดอะไรก็สวดไปส่วนผมก็ท่องบทแผ่เมตตาให้วัว แกะ แพะ ทุกตัวที่อยู่ในจานอ่ะครับ ขอให้สัตว์เหล่านี้ที่ตายไป ไปสู่สุคติภพ อย่าได้เกิดมาเป็นสัตว์ให้ถูกฆ่าอีกเลย เมื่อรับประทานมื้อกลางวันเสร็จแล้ว ลามะภูริบัดพาพวกเราชมวัด Choijin ซึ่งเป็นวัดที่เก่าแก่อีกแห่งหนึ่งและได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่ วัดแห่งนี้เป็นวัดที่เก็บหน้ากากเก่าแก่ที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาไว้มากมาย อีกทั้งเป็นที่เก็บกระดูกของลามะชื่อดังรูปหนึ่งไว้ แต่ไม่ได้เก็บอัฐิไว้ในตู้หรือสถูปเลยครับ ชาวมองโกเลียสมัยนั้นนำกระดูกของพระรูปนี้มาหล่อเป็นพระพุทธรูปเลย เห็นแล้วก็รู้สึกขลังมากครับ แต่น่าเสียดายที่ผมไม่ได้ถ่ายรูปเก็บเอาไว้เพราะทางวัดงดการถ่ายภาพ
ผมเก็บรายละเอียดเกี่ยวกับวัดนี้ได้น้อยมาก เนื่องจากผมและโมชกำลังพยายามตีซี้กับบุตรีของลามะภูริบัดและคุณคิม ลูกของทั้งสิงเป็นเด็กผู้หญิงที่ฉลาด ร่าเริงมาก พูดภาษาอังกฤษก็เก่งขนาดเด็กป.4 นะเนี่ย คิดแล้วก็อายเด็นะเนี่ย ตอนผมป.4 ทำอยู่แค่สองอย่างเอง นิ่งเป็นหลับ ขยับเป็นกินอยู่เลยอ่ะ น้องคนนี้ชื่อว่า น้องมุนีครับ เป็นภาษาสันสกฤตแปลว่าผู้รู้ คุณคิมเคยไปอยู่ที่อินเดียเลยมีความรู้ทางภาษาสันสกฤตอยู้บ้าง ตอนแรกๆน้องมุนีก็เป็นเด็กขี้อายกับผมและโมชครับ เนื่องจากไม่คุ้นเคยกับคนแปลกหน้า พอผมพูดด้วยน้องมุนีก็ไม่พูดด้วย (เขินคนหล่อก็อย่างงี้แหละ อิอิ) แต่ผมจะมีอยู่มุขหนึ่งในการตีซี้กับเด็กๆซึ่งผมใช้มาตั้งแต่สมัยผมไปออกค่ายแล้ว นั่นคือการแกล้งเดินไปสะกิดข้างหลังแล้วรีบเดินผ่านไปให้เด็กเหลียวหลังกลับมามองว่าไม่มีใคร แรกๆเด็กก็จะงง แต่พอผมแกล้งบ่อยขึ้นๆ เด็กจะจับไต๋ได้จากนั้นผมก็จะแลบลิ้นใส่เด็กทันที ทำง่ายๆแค่นี้เองล่ะครับ ประเดี๋ยวพอเราเผลอเด็กเหล่านี้ก็จะมาสะกิดคืน กับน้องมุนีก็เช่นกัน ง่ายๆแค่นี้เองล่ะครับพอมีอะไรที่มุนีอยากจะมาเล่นกับผมด้วย น้องมุนีก็จะกล้าเข้ามาเล่นโดยไม่เห็นผมเป็นคนแปลกหน้าแล้วล่ะ
สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่วัด Choijin
น้องมุนีหน้าเหมือนแม่เลย
อย่างไรก็ตามแม้ว่าผมจะเก็บรายละเอียดวัดนี้ได้น้อย แต่ผมก็พอจะทราบว่าวัดแห่งนี้มีพระพุทธรูปและพระโพธิสัตว์ ในช่วงศตวรรษที่ 17-18 อยู่เป็นจำนวนมากซึ่งทั้งหมดทำด้วยทองเหลือง และไกด์ประจำวัดแห่งนี้ก็จะเล่าเรื่องราวของพระโพธิสัตว์ให้พวกเราฟัง อ๋อ...ผมลืมบอกไป ที่มองโกเลียจะไม่นับถือพระอรหันต์กันครับ จะนับถือเพียงพระพุทธองค์กับพระโพธิสัตว์เท่านั้น
ในช่วงเย็น พวกเราทั้ง 5 มีโอกาสเข้าชมการแสดงดนตรีและการร่ายรำพื้นบ้านของแต่ละชนเผ่า เครื่องดนตรีพื้นบ้านของมองโกเลียที่ใช้แสดงในค่ำคืนนี้มี ทั้ง ซอ, ขลุ่ย, พิณ, กู่เจิ้ง, กลอง, และแตรยาว 2 เมตรกว่า เวลาเป่าต้องเอาไม้มาค้ำไว้ด้วย ซึ่งจะได้เสียงโทนต่ำ สำหรับใครที่อยากฟังดนตรีพื้นบ้านของมองโกเลียว่าเป็นอย่างไร ติดต่อปราโมชได้ทันทีครับ เพราะโมชซื้อ CD มาฟังด้วยเห็นเพื่อนผมบอกว่าชอบมาก เพราะยังไงลองไปถามโมชได้ครับ
ภาพการแสดงดนตรีและร่ายรำพื้นบ้านของชาวมองโกเลียมีโชว์กายกรรมด้วยนะ
"แล้วอย่าลืมติตามสองเงาในมองโกเลียตอนต่อไปเร็วๆนี้นะคร้าบ^^"