เช้าวันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม พวกผมทั้งหมดต้องตื่นประมาณตี 4 เพื่อเตรียมตัวออกเดินทางจากอูลาบาร์ตอร์ไปเมืองที่สำคัญทางประวัตืศาสตร์เมืองหนึ่งของมองโกเลีย นั่นคือเมือง “คาราโครอม” เป็นครั้งแรกที่มนุษย์ผู้ตื่นยากแสนยาก 2 คนอย่างผมและโมชสามารถตื่นแต่เช้าตรู่ขึ้นมารอคุณคิมมาที่ขับรถมารับพวกเรา ก่อนเวลานัดหมาย... ก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรมากหรอกครับ.... เพียงแค่อยากให้ทุกคนรู้สึกแปลกใจที่พวกเราก็สามารถตื่นแต่เช้าและออกมารอทุกคนได้ เพราะตั้งแต่อยู่ปักกิ่งและมองโกเลียมาตลอด 4 วัน ผมและโมชไม่เคยออกมารอใครก่อนเลย พวกเราสองคนมักจะออกมาเป็นคู่สุดท้ายเสมอ ด้วยความดีใจจัด ผมจึงนำกุญแจไปเช็คเอ้าท์ทันที ผมกำลังนึกอยู่ในใจครับว่า “เอ.... เมื่อวานเรากินน้ำไปสองขวด มันเป็นเงินกี่ทุกรุกกันหนอ” เมื่อพนักงานโรงแรมยื่นบิลมาให้ผมเห็นราคา “353,000 ทุกรุก.....เอมันเป็นเงินเท่าไรหนอ” ผมลองคำนวณดู 1,040 ทุกรุกเท่ากับ หนึ่งดอล์ล่าร์ เพราะฉะนั้นค่าที่พักก็จะเท่ากับ 339.4 ดอล์ล่าร์หรือคิดเป็นเงินสกุลบาท (ตีซักประมาณ 33.5 บาท/ดอล์ล่าร์) จะเท่ากับประมาณ 11,370 บาท หรือตกคืนละประมาณ 11,370 บาท ก็ตกประมาณคืนละ 5,685 บาท ซึ่งเป็นค่าห้องสำหรับโรงแรมระดับ 5 ดาว ของมองโกเลีย พอผมเห็นใบเสร็จปุ๊ปก็ตกใจทันที เพราะไม่มีเงินจ่ายอ่ะ... เผอิญนึกขึ้นได้ว่าเดี๋ยวคุณคิมจะมาจัดการให้นี่น่า เลยต้องบอกพนักงานให้รอคุณคิมมาก่อนถึงจะเช็คเอ้าท์
ตอนนี้เวลาประมาณตีห้าครึ่งครับ...สว่างเร็วมาก ส่วนด้านหลังของผมเป็นอาคารหลังหนึ่งซึ่งถูกเผาอันเนื่องมาจากการจลาจลก่อนที่พวกผมจะมาประมาณ สองอาทิตย์ก่อน
พวกเราเริ่มออกเดินทางกันประมาณตีห้าครึ่งครับ และก็เป็นเจ้า Toyota Lexus กับ Toyota RAV4 ทั้งสองคันนี้เองที่พาพวกเราทั้งหมดมุ่งหน้าไปยังที่หมายใหม่ .....เมืองคาราโครอม
ทางที่ไปมุ่งหน้าไปสู่เมืองคาราโครอมนั้นกว่า 10% นั้นเป็นถนนลาดยาง ส่วนอีกกว่า 80% ที่เหลือเป็นถนนลูกรังครับ ท่านผู้อ่านท่านใดก็ตามที่เคยชมการแข่งขันรถแข่งแรลลี่บ้างครับ ที่วิ่งแข่งกันตามทะเลทราย ตามป่า ตามทางวิบากต่างๆ ผมว่าเส้นทางที่มุ่งหน้าไปที่เมืองคาราโครอมนี้ ก็เหมาะที่จะเป็นสนามแข่งแรลลี่อีกแห่งหนึ่งนะครับ เนื่องจากเส้นทางนี้ยังไม่มีถนนหลวงครับ ถนนหลวงเพิ่งจะเริ่มสร้างเอง ด้วยเหตุนี้เส้นทางจากอูลาบาเตอร์ไปยังคาราโครอมจึงเกิดจากรถที่วิ่งบนลานหญ้าซ้ำไปซ้ำมาจนเกิดเป็นทางที่เกิดจากล้อรถวิ่งทับ
อันนี้เป็นลักษณะถนนที่มุ่งหน้าไปยังเมืองคาราโครอมครับ มีรถประจำทางวิ่งด้วยหน้าตาเป็นแบบนี้ครับ ส่วนข้างๆเป็นข้าวเช้าของพวกผม เป็นข้าวราดเนื้อแพะ
ถ้าถามผมว่าเส้นทางนี้วิบากไหม เอาเป็นว่าใครเคยไปนครวัดโดยนั่งรถจากอำเภอปอยเป็ดถึงนครวัดบ้าง ความวิบากของเส้นทางก็จะประมาณนั้นเลยครับ เพียงแต่ถนนวิบากของมองโกเลียนี้สนุกกว่ามาก เพราะเส้นทางนี้เป็นทุ่งโล่งกว้าง จึงสามารถขับได้อิสระมาก เมื่อมีรถอีกคันวิ่งนำหน้าคันของผมโชเฟอร์ก็จะขับฉีกไปอีกด้านเพื่อหลบควันฝุ่นที่ฟุ้งกระจายจากรถคันข้างหน้า และโชเฟอร์ของผมก็พยายามจะวิ่งแซงออกไปเพื่อหลบฝุ่นเหล่านี้ ส่วนรถที่วิ่งตามหลังคันของผมก็จะวิ่งฉีกไปอีกด้านหนึ่งเพื่อหลบฝุ่นจากรถของผมเช่นกัน ซึ่งต่างจากเส้นทางปอยเป็ดนครวัดที่เป็นถนนลูกรัง 3-4 เลน ทำให้รถที่ตามหลังไม่สามารถหลีกเลี่ยงฝุ่นที่ฟุ้งขึ้นมาได้
ด้วยภูมิประเทศที่เป็นทุ่งกว้างนี้เองทำให้เส้นทางนี้เกิดถนนที่คดเคี้ยวไปมาตามรอยของล้อรถต่างๆ เมื่อใดก็ตามที่มีรถวิ่งสวนเข้ามา มีให้ผมลุ้นทุกทีว่ารถจะจ๊ะเอ๋กันไหมหนอ แต่ด้วยความสามารถในการขับรถที่เก่งกาจของโชเฟอร์ผม จึงทำให้ผมรู้สึกสนุกกับการขับแซงกันไปกันมามากกว่าการชนรถที่ขับสวนกันเสียอีก (คนขับเหยียบ ร้อยโลอัพตลอด แตะเบรกน้อยมาก มากจนผมอยากจะบอกโชเฟอร์จริงๆๆว่าพี่ขับช้าๆบ้างก็ได้นะพี่ก้นผมช้ำไปหมดแล้ว)
ผมคิดอยู่ในใจเหมือนกันครับว่าหากใครก็ตามที่ขับรถที่นี้แล้วรถเสียจะทำยังไงเนี่ย เพราะผมสังเกตตลอดว่าหมู่บ้านในแต่ละจุดนั้นอยู่ห่างไกลกันมาก และระหว่างทางของถนนเส้นนี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากทุ่งหญ้าภูเขา ท้องฟ้า และฝูงสัตว์ ถ้าเกิดรถผมเกิดเสียตรงนี้ล่ะก็ รับรองงานเข้าแน่นอน ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่ผมคิดนั่นก็คือคนที่นอนหลับบนเส้นทางนี้ในขณะที่รถกำลังขับด้วยความเร็วได้ต้องเก่งมากๆ ขนาดผมเป็นคนขี้เกียจหลังยาว ขี้เซาสุดๆ ยังทนหลับไม่ได้เลยเพราะรถสั่นกึก กึก กึกและกระแทกตลอดเวลาแถมฝุ่นที่ฟุ้งเข้ามาในรถก็เยอะด้วย ใครก็ตามที่แพ้ฝุ่นนั้นรับรองได้ว่าทรมานน่าดู แต่แล้วผมก็ค้นพบเซียนในการกลับตัวจริงจนได้ โมชเพื่อผมสามารถนอนหลับได้และหลับสนิทเสียด้วย เวลารถสั่นกระแทกไปซ้ายไปขวา เพื่อนผมก็สามารถเอนหัวเอนไปเอนมาพริ้วไหวไปตามแรงกระแทกของรถได้ อีกทั้งฝุ่นที่ตลบเข้ามาในรถนั้นก็ไม่สามารถทำให้เพื่อนผมคัดจมูกหรือไอได้เลยในขณะที่คนขับกลับไอค่อกๆแค่กๆเสียเอง อีกทั้งพี่โชเฟอร์ก็งงด้วยนะครับว่าเพื่อนผมนอนได้อย่างไร
เส้นทางไปคาราโครอมนี้จะผ่านทะเลทรายด้วยครับแต่เป็นทะเลทรายขนาดเล็กนะครับ ซึ่งผมและโมชต่างก็สันนิฐานกันว่าพื้นที่แห่งนี้อาจจะเคยเป็นทะเลทรายมาก่อน เพราะเคยดูสารคดีกันอ่ะครับว่าทะเลทรายบางส่วนเกิดจากการที่แผ่นดินใต้ทะเลยกตัวสูงขึ้นเมื่อน้ำหายไปก็เลยเหลือแต่ทราย เนื่องจากเส้นทางนี้มีทะเลทรายเพียงจุดเดียว ลามะภูริบัดจึงให้พวกเราแวะพักผ่อน ขี่อูฐเล่นกัน แดดทะเลทรายนั้นร้อนมากจริงๆๆครับแค่ 15 นาทีเท่านั้นแขนผมก็แสบไปหมดเลยต้องรีบเอาเสื้อแขนยาวมาใส่ทันที ไม่งั้นผิวลอกแหงมๆๆ
ที่นี่คือทะเลทรายครับ แวะผ่านมาถ่ายรูป ขี่อูฐเล่นกัน
สามรูปสุดท้าย ผมลองวิ่งขึ้นเขาทรายขึ้นมาซึ่งชันปรุมาณ 80 องศา เวลาวิ่งขึ้นทีเท้าของผมก็จะถูกทรายไถลลงทำให้ต้องใช้พลังและกล้าเนื้อในการวิ่งมากกว่าปกติเลยทีเดียวพอผมวิ่งเสร็จก็เกือบจะหน้ามืดเลยล่ะ เพราะทั้งเหนื่อยทั้งร้อน
หลังจากที่พวกเราแวะพักที่ทะเลทรายได้ซักพัก ก็เริ่มออกเดินทางกันอีกครั้ง ผมไม่รู้ว่าพี่โชเฟอร์รู้เส้นทางไปเมืองคาราโครอมกันได้อย่างไรเพราะตั้งแต่ผมนั่งรถอออกมาจากอูลาบาเตอร์ผมยังไม่เห็นป้ายบอกทางเลยซักอัน แต่อย่างร็กตามคนขับก็พาพวกเราทั้งหมดถึงที่หมายอย่างปลอดภัย ซึ่งเป็นเวลาประมาณบ่ายสองที่พวกเราทั้งหมดเข้ามา check in ที่ Dream Land Tourist Camp รีสอร์ทที่พวกเราเข้ามาพักผ่อนกัน ณ.เมืองคาราโครอมแห่งนี้
รีสอร์ทแห่งนี้มีแม่น้ำไหลผ่านทางด้านหลังด้วยครับชื่อแม่น้ำ TRELJ อีกฟากหนึ่งก็เป็นเนินเขา ลักษณะของเมืองคาราโครอมนี้ก็คล้ายหมู่บ้าน BORNOR ที่มีถนนลาดยางเพียงเส้นเดียวส่วนถนนที่เป็นซอยก็จะเป็นถนนลูกรัง และลักษณะบ้านเรือนก็จะเป็นบ้านชั้นเดียวและมีรั้วล้อมตามอาณาเขตของแต่ละหมู่บ้านครับ หลังจากพักทานอาหารกลางวันที่รีสอร์ทแห่งนี้เสร็จ ผมกับโมชและคุณอาเจริญชวนกันไปเดินแล่นริมแม่น้ำกัน
ริมถนนและภูเขาต่างๆสามารถเห็นที่ฝังศพชาวมองโกเลียได้ง่ายมากซึ่งที่ฝังก็จะเป็นลักษณะดังสองรูปแรกนี่เองครับ
บรรยากาศภายในเมืองคาราโครอมเหมือนหมู่บ้าน Bornor เลย
ที่พักของพวกเราในวันนี้ครับ ข้าวกลางวันของพวกเรามื้อนี้เป็นข้าวปั้นแสนอร่อยฝีมือคุณคิมครับ
เดิมทีธุรกิจที่บ้านของปราโมชเป็นเหมืองพลอยมาก่อนและตัวโมชเองก็คลุกคลีกับการดูหินและแร่ธาตุต่างๆมาตั้งแต่สมัยเด็กๆดังนั้นเพื่อนผมคนนี้จึงมีความชำนาญในการดูแร่และหินเหมือนกัน เมื่อพวกเรามาถึงบริเวณริมแม่น้ำ สิ่งที่โมชสังเกตเห็นหินบริเวณริมแม่น้ำนี้คือ หินที่มีรูพรุนกระจายไปทั่วริมฝั่งแม่น้ำและมีหินยุคดึกดำบรรพ์กระจายอยู่ตามริมฝั่งแม่น้ำเช่นกัน ซึ่งโมชให้ผมสังเกตุง่ายๆว่าหินที่มีความละเอียดของเนื้อผิวที่เนียนละเอียดมาก แสดงว่าเป็นหินที่มีอายุมายาวนาน อันเนื่องมาจากว่าหินเหล่านั้นผ่านสภาวะของภูมิอากาศมาอย่างยาวนานเป็นเวลาหลายล้านปี และโมชก็ก็ให้ผมสังเกตุภูมิประเทศโดยรอบของรีสอร์ทแห่งนี้เช่นกันเพราะรีสอร์ทแห่งนี้มีภูเขาล้อมรอบเกือบจะ 360 องศา และภูเขาเหล่านั้นก็มีการแอนตัวคล้ายแอ่งหลุม ด้วยลักษณะภูมิประเทศเช่นนี้และ หินที่มีลักษณะรูพรุนนี้เอง จึงสันนิษฐานว่า พื้นที่บริเวณแห่งนี้น่าจะเคยมีอุกกาบาตตกลงมาในยุคดึกดำบรรพ์ แต่ข้อเท็จจริงจะเป็นเช่นไรผมเองก็ไม่สามารถตอบได้ เป็นแค่ข้อสันนิษฐานจากการสังเกตุของเพื่อนผมเท่านั้นเอง
ด้านหลังของรีสอร์ทเป็นแม่น้ำ Trelj ครับ
พวกเราใช้เวลาพักผ่อนอยู่ที่รีสอร์ทนี้จนถึงเวลาประมาณห้าโมงเย็น จากนั้นก็มีสามีภรรยาคู่หนึ่งซึ่งเป็นชาวบ้านของเมืองนี้ พาลามะภูริบัดและพวกเราทั้งหมดไปพบคุณลุงท่านหนึ่งซึ่งลุงท่านนี้เป็นเกษตรกร คุณลุงท่านนี้มีความน่าสนใจตรงที่คุณลุงมีความสนใจปลูกพืชพันธุ์หายากและอนุรักษ์พันธุ์พืชที่กำลังจะสูญพันธุ์ในทะเลทรายโกบี คุณลุงท่านนี้มีชื่อว่า Kambada และพันธุ์พืชที่ท่านปลูกนั้นจะปลูกนอกและในเรือนกระจก ซึ่งเรือนหลังนี้คุณ Kambada ใช้กระจกรถยนต์มุงหลังคาแทนแผ่นกระจกจริงๆๆกันเลยครับ เป็นการรีไซเคิลที่น่าชื่นชมจริงๆ
ผมจำได้ว่าที่ประเทศนี้มีฝนตกน้อยมากๆ ถ้าผมจำไม่ผิดรู้สึกว่าระดับน้ำฝนจะน้อยกว่า 20 มิลลิเมตรต่อปีเสียอีก (ถ้าข้อมูลผิดพลาดต้องขออภัยด้วยนะครับ) แต่คุณลุงก็สร้างบ่อเก็บน้ำและระบบชลประทานแบบง่ายๆเพื่อใช้รดน้ำให้ต้นไม้และผักในช่วงฤดูร้อนได้ ต้องขอยอมรับว่าคุณลุงปลูกต้นไม้ขึ้นด้วยเป็นสิ่งที่เยี่ยมจริงๆ ในขณะที่บ้านหลังอื่นไม่มีใครปลูกต้นไม้เลยซักต้นเดียว มีแต่ต้นหญ้าที่มีดอกไม้เท่านั้นเองครับ
คุณลุง Kambada มีความเลื่อมใสในพุทธศาสนามาก เมื่อผมเดินเข้าไปในบริเวณสวนของคุณลุง นอกจากพันธุ์ไม้นานาพันธุ์ที่ผมพบเห็นแล้ว ผมเห็นรูปปั้นพระพุทธรูป และ Wheel of Mantra อยู่ในสวนของคุณลุงด้วย เมื่อพวกเรามีโอกาสเข้าไปในบ้านของท่านนั้นภายในบ้านของคุณลุงก็มีหิ้งพระที่จัดเรียงกันอย่างดี ผิดกับบ้านหลังอื่นที่ผมได้มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมเยือนซึ่งไม่มีหิ้งพระอยู่เลย การที่คุณลุงท่านนี้มีความเลื่อมใสในพุทธศาสนามากนั้น โมชสันนิฐานว่าเป็นไปได้ที่คุณลุง Kambada ชอบนั่งภาวนาจนเกิดภาวนามยปัญญา และใช้ปัญญาที่ตนได้ปฏิบัตินั้นเข้ามาพัฒนาการเกษตรในพื้นที่บ้านของคุณลุงเอง(นอกจากมีสวนพันธุ์ไม้หายากสำหรับมองโกเลียแล้ว คุณลุงก็ปลูกผักด้วยเช่นกัน) เนื่องจากสิ่งที่คุณลุงกระทำอยู่นี้เป็นสิ่งที่โมชเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีและควรให้กำลังใจ แต่ เอ..... แล้วพวกเราควรจะทำอะไรบ้างล่ะเพื่อแสดงให้คุณลุงทราบว่า สิ่งที่คุณลุงทำอยู่นั้นเป็นสิ่งที่ดีและโมชเองก็ชื่นชมมากเสียด้วย งานนี้จึงเกิดล่ามขึ้นมา 2 คน โดยโมชให้ผมบอกกับคุณคิมเพื่อให้คุณคิมสื่อสารไปยังคุณลุงอีกทีดังนี้
“Moch really appreciate on his work.A lot of things, Mr. Kambada does, are quite familiar with our King and intelligent laymen in agricultural of Thailand. Most of them did many useful things to Thailand like Mr. Kambada has done, such as irrigation, agricultural development, botanical garden and preservation.”
แปลเป็นไทยว่า “โมชชื่นชมกับสิ่งที่คุณลุงทำอยู่ซึ่งมีหลายสิ่งที่คุณลุงทำนั้นคล้ายกับสิ่งที่ในหลวงและ ปราชญ์เดินดินอีกมากมายในเมืองไทยทำ เช่นระบบชลประทาน การพัฒนาพันธุ์พืชสงวนพันธุ์” น่าเสียดายที่ผมลืมบอกไปว่าสิ่งที่คุณลุงทำนั้นเป็นแนวเศรษฐกิจพอเพียงเลย ไม่แน่น่ะครับคำว่า “sufficient economic” อาจกลายเป็นคำที่นิยมในมองโกเลียก็ได้ อิอิ
เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแด่คุณลุง โมชได้มอบพระพิฆเนศซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับที่ฟิลม์ รัฐภูมิมี แก่คุณลุงซึ่งคุณลุง Kambada เองรู้สึกดีใจมาก ท่านจึงให้พรกับพวกผมเป็นการขอบคุณโดยวิธีการให้พรของคุณลุงนั้น คุณลุงจะถือดาบโบราณออกมาและนำด้ามดาบมาเตะไว้ที่ไหล่และหน้าผากของพวกผมพร้อมบริกรรม
นี่คือคุณลุง Kambada และภรรยาครับ
ภายในสวนของคุณลุงนอกจากจะมีพันธุ์ไม้ที่หายากแล้วก็มีรูปปั้นพระพุทธองค์ด้วย ส่วยอาคารด้านหลังผู้ชายเสื้อฟ้าคือ อาคารเรือนกระจกสำหรับปลูกต้นไม้ครับซึ่งหลังคาใช้กระจกรถยนต์ในการทำทั้งหมดึรับ ส่วนรูปสุดท้ายนั้น หินที่โมชถืออยู่เป็นหินที่มาจากทะเลทรายโกบีครับ
ก่อนจากกับคุณลุงท่านนี้ ผมสังเกตุเห็นคุณลุงคุยกับลามะภูริบัดซึ่งผมไม่รู้หรอกครับว่าพวกท่านคุยอะไรกันแต่ผมสังเกตุเห็นแววตาของคุณลุงแลดูมีความสุขและเต็มไปด้วยปิติมาก คุณคิมบอกกับผมว่าคุณลุง Kambada ดีใจมากที่ได้พบกับลามะและรู้สึกเป็นเกียรติที่ท่านได้มีโอกาสมาเยี่ยมเยียนคุณลุงถึงที่บ้านเพราะโดยปกติแล้วคุณลุงได้พบเห็นลามะภูริบัดแต่ในโทรทัศน์เท่านั้น
จากนั้นสามีภรรยาคู่นั้นก็พาพวกผมไปฟาร์มปศุสัตว์แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นฟาร์มเลี้ยงวัว ม้า แกะ และแพะพวกผมก็เพลิดเพลินกันตามเรื่องตามราวกับการถ่ายรูปเล่น ขณะนั้นเวลาประมาณสองทุ่มแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินเลยแสงที่สาดส่องผ่านเนินเขาทางทิศตะวันตกนั้นทำให้เงาต่างๆถูกทอดยาวมากเป็นพิเศษ ผมมานั่งนึกอยู่เหมือนกันว่าเรื่องราวที่ผมเขียนเกี่ยวกับการมาเยือยมองโกเลียครั้งนี้จะใช้ชื่อว่าอะไรดี พอดีเคยอ่านหนังสือเรื่องสองเงาในเกาหลี ของคุณ ทรงกลด บางยี่ขัน และด้วยแสงเงาที่ทอดยาวนี้เองทำให้ผมนึกแอบลอกบวกดัดแปลงเรื่องราวของพวกผมเป็นชื่อเรื่อง สองเงาในมองโกเลียนี่เองครับ เป็นเวลาประมาณเกือบชั่วโมงที่พวกเราอยู่ที่ฟาร์มแห่งนี้ จากนั้นลามะภูริบัดก็พาพวกเราทั้งหมดไปที่วัด Chank Monastery ซึ่งเมื่อผมไปถึงก็เป็นเวลาประมาณ 3 ทุ่มครึ่งพระอาทิตย์กำลังจะตกดินแล้ว พอพวกผมเดินเข้าไปในบริเวณวัดปุ๊ปสิ่งแรกที่ผมเห็นก็คือชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งสวดมนต์กับลามะของวัดและลามะเด็ก เป็นภาพที่ดูขลังมาก เพราะพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าและบรรยากาศในวัดที่มืดน่ากลัวมากกอันเนื่องมาจากไม่มีแสงไฟใดๆเลย และลามะภูริบัดก็พาพวกเราทั้งหมดเข้าไปในวัดที่มือตื๊ดตื๋อแบบนั้นโดยไม่มีไปฉายเลยครับ ผมไม่ขอเล่าบรรยากาศข้างในเวลามืดๆล่ะกันนะครับเพราะคนที่ขวัญอ่อนคงไม่อยากอ่านเป็นแน่
ระหว่างทางนั้นยางรถคันของผมแตกครับ โชคดีที่มีอะไหล่เปลี่ยน อิอิ
ที่บ้านเรามีหนูนาที่นี่ก็มีหนูทุ่งหญ้าเหมือนกัน ส่วนรูปที่สองเป็นฝูงนกที่กำลังบินอพยพไปอยู่กรุงเทพแถวสีลมอ่ะครับ...... ล้อเล่น ผมไม่รู้หรอกครับเห็นสวยดีเลยถ่าย
คุณลูกรีดนมม้า คุณแม่รีดนมวัว ส่วนรูปส่ดท้ายคือที่ผ่านมาของชื่อเรื่องจ้า
จะไปถ่ายรูปกับแพะกับแกะซะหน่อยแต่ท่าทางมันจะกลัวคนแปลกหน้าเลยวิ่งหนีไม่ยอมให้ถ่ายเลยแต่กลับมีลูกแกอยู่ตัวหนึ่งคิดว่าผมเป็นแม่มันรึเปล่าไม่รู้วิ่งเข้ามาดูดนมผมเฉยเลย... ฉันไม่ใช่แม่แกนะ
วัด Chank Monastery เป็นวัดที่สำคัญแห่งหนึ่งของเจงกีสข่านครับ เพราะเป็นวัดที่เก็บธงรบของเจงกีสข่าน โดยธงรบที่ผ่านศึกนั้นจะถูกนำมาทำพิธีและเก็บเอาไว้ที่วัดแห่งนี้ ตามความเชื่อที่ว่า การนำธงรบที่ชนะศึกเหล่านั้นมาทำพิธีกรรมที่วัดแห่งนี้จะทำให้กษัตริย์มีพลังที่เพิ่มขึ้น คุณคิมบอกกับผมว่าพลังที่คนมองโกเลียเชื่อนั้นเรียกเป็นภาษอังกฤษว่าพลัง Cosmo ถ้าแปลเป็นไทยก็น่าจะเรียกว่าพลังจักรวาลละมั้งผมว่า
ที่นี่คือวัด Chank Monastery ครับ ชาวบ้านกำลังสวดมนต์กัน ซึ่งข้างในวัดมืดมาก ส่วนรูปสุดท้ายเคยได้ยินแต่ราหูอมจันทร์ อันนี้งูอมจันทร์ครับ
พวกเราอยู่ที่วัดแห่งนี้ประมาณครึ่งชั่วโมง ท้องฟ้าก็เริ่มมือสนิทล่ะ แต่ท้องผมนี่ซิดังจ๊อกๆเพราะยังไม่มีอะไรตกลงถึงท้องเลย ดังนั้นเมื่อกลับถึงที่พักสเต๊กจานใหญ่ของผมและโมชที่ทางรีสอร์ทเตรียมไว้จึงหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็วเลยทีเดียว
อย่าลืมติดตามชมสองเงาในมองโกเลียตอนสุดท้ายในตอนหน้ากันนะคร้าบ^^