เช้าวันที่ 20/07/08 เสียงนกร้องและแสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาในเต้นท์ที่พักทำให้พวกผมค่อยๆตื่นขึ้น ภาพแรกที่ผมเห็นคือท่านลามะเดินเข้ามาในเต้นท์ที่พักพอดี ท่านเข้ามาดูอาการของพี่คนขับรถคนหนี่งเนื่องจากว่าพี่คนขับท่านนี้เป็นไข้ไม่สบาย ผมทักทายท่านลามะและรีบปลุกเพื่อนจอมขี้เซาทันที เพราะวันนี้เป็นวันที่ลามะภูริบัดจะพาพวกเราไปวัดแห่งแรกของมองโกเลียกันครับ
วัด Erdenezuu Monastery เป็นวัดแห่งแรกของประเทศมองโกเลียครับ เมื่อปี พ.ศ. 1577 ท่าน Avtai Sain Khan เดินทางไปพบ องค์ดาไลลามะท่านหนึ่งที่มีชื่อว่า Sodnomjamts องค์ดาไลลามะได้แสดงธรรมต่างๆให้แก่ Avtai Sain Khan จนเกิดความเลื่อมใสศรัทธา ครั้งเมื่อ Avtai Sain Khan เดินทางกลับมองโกเลีย จึงได้อัญเชิญรูปปั้นของเทพ Gombegur และ Ochiravanni กลับมาบูชา (นิกายวชิรญาณนอกจากจะนับถือพระพุทธเจ้าแล้ว ก็นับถือพระโพธิสัตว์ด้วยเช่นกัน)
ภายในวัด Erdenezuu Monastery ครับ
เมื่ออัญเชิญมาที่ประเทศมองโกเลียแล้ว Avtai Sain Khan มีคำสั่งให้สร้างวัด Erdenezuu Monastery และอัญเชิญเทพ Gombogur ไว้ที่วัดแห่งนี้ และมีคำสั่งให้สร้างวัด Chank Monastery (วัดที่พวกผมไปมาเมื่อคืนวานครับ) เพื่ออัญเชิญเทพ Ochirvaani ไว้ที่วัดแห่งนี้ในเวลาต่อมา
ในช่วงแรกๆนั้นพิธีกรรมทางศาสนาและพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ต่างๆจะถูกจัดไว้ที่วัด Erdenezuu Monastery ที่เดียว ขณะที่วัด Chank Monastery นั้นไม่มีการจัดพิธีกรรมใดๆเลย เมื่อวันเวลาผ่านพ้นไปมาถึงยุคของเจงกีสข่าน ทุกๆครั้งที่เจงกีสข่านรบชนะ ธงรบเหล่านั้นจะถูกนำมาเก็บและสักการะไว้ที่วัด Chank Monastery แห่งนี้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาวัด Chank Monastery ก็เริ่มเป็นสถานที่ที่มีบทบาทต่อการปกครองของประเทศมองโกเลียในสมัยนั้นโดยเป็นศูนย์รวมอำนาจรัฐและการปกครอง สำหรับวัด ErdenezuuMonastery จึงเป็นศูนย์กลางทางพุทธศาสนาสำหรับชาวมองโกเลียทุกชนชั้นวรรณะเพียงอย่างเดียวในเวลาต่อมา
จุดเด่นที่น่าสนใจอย่างหนึ่งของวัดแห่งนี้คือ กำแพงเจดีย์ที่รายล้อมพื้นที่วัดซึ่งมีทั้งหมด 108 เจดีย์ กำแพงนี้ยาวด้านละ 400 เมตร ในตอนแรกวัด Erdenezuu Monastery ไม่มีกำแพงวัดครับ แต่เนื่องจากความศรัทธาในพระพุทธศาสนาของชาวมองโกเลียมีมากขึ้น ในปี พ.ศ. 1730 มีอาสาสมัคร 4 คน อุทิศตนสร้างกำแพงเจดีย์ขึ้นและสร้างเสร็จในปี 1808 ซึ่งอาสาสมัคร 4 คนนี้มีชื่อว่า Durvad, Bayad, Uuld, Uriamkhai
ภายในบริเวณพื้นที่วัดแห่งนี้มีโบสถ์ซึ่งเป็นอาคาร 3 หลังติดกัน และมีกำแพงล้อมโบสถ์ทั้ง 3 หลังอีกชั้นหนึ่ง เมื่อผมเดินเข้าไปด้านในก็จะพบสุสานของ Avtai Sain Khan และสุสานของ Tusheet Khan Gombodorj (เป็นหลานของ Avtai Sain Khan) อยู่ด้านหน้าของโบสถ์ทั้ง 3 นี้ครับ บริเวณด้านในของโบสถ์ทั้ง 3 นี้มีพระพุทธรูปและเทพต่างๆให้คนเข้ามากราบไหว้สักการะกัน ส่วนด้านข้างของโบสถ์ทั้ง 3 จะมีอาคารอีกฝั่งละหลังซึ่งในอาคารแห่งนี้มีภาพวาดฝาผนังเกี่ยวกับคำสอนพุทธองค์ และภาพวาดของเทพและมารต่างๆ บริเวณตรงกลางของวัดมีเจดีย์ขนาดใหญ่ซึ่งยอดเจดีย์ทำด้วยทองคำ ส่วนเจดีย์องค์นี้มีที่มาและความสำคัญอย่างไร อันนี้ผมไม่ทราบเลยครับ เพราะขณะที่คุณคิมกำลังอธิบาย ผมกับโมชก็ไปเดินเล่นถ่ายรูปกันอยู่เลยพลาดข้อมูลสำคัญไปเลยอ่ะ
ผมกับโมชเดินมาที่โบสถ์สีขาวหลังหนึ่งเป็นโบสถ์สูง 3 ชั้นที่มีสถาปัตยกรรมแบบทิเบต ด้านในมีลามะหลายองค์กำลังสวดมนต์กันอยู่ ผมกับโมชเดินหากลุ่มของคุณอาและลามะภูริบัดอยู่นาน หาเท่าไรก็หาไม่เจอ แต่แล้วก็มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งโบกมือเรียกพวกเราจากชั้น 3 อ๋อ!!! ที่แท้ทุกคนก็อยู่บนชั้น 3 นี่เองและเด็กคนนั้นก็คือน้องมุนีนี่เอง
น้องมุนีพาพวกเราขึ้นไปที่ชั้น 3 ซึ่งคุณคิมกำลังอธิบายอะไรบางอย่างอยู่และชี้ไปที่หิ้งพระให้พวกเราดู บนหิ้งพระนี้มีพระบรมสารีริกธาตุอยู่ผมและทุกคนจึงมีโอกาสมากราบไหว้มากราบไหว้พระบรมสารีริกธาตุที่วัดแห่งแรกของประเทศมองโกเลียกันครับ
ก่อนกลับจากวัดแห่งนี้ ท่านเจ้าอาวาสวัดให้ศีลให้พรพวกผมและมอบผ้า Hatar แก่พวกเราทุกคน สำหรับชาวมองโกเลียแล้วการให้ผ้า Hatar เป็นการแสดงความเคารพและสามารถใช้ผ้า Hatar เป็นพุทธบูชาได้เช่นกัน
อาคารสีขาวทรงทิเบตและกำแพงเจดีย์
ก่อนจากท่านเจ้าอาวาสมอบผ้า Hatar แก่พวกผมครับ
วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่พวกผมมีโอกาสรับประทานอาคารกับชาวบ้าน สำหรับมื้อกลางวันพวกผมมีโอกาสรับประทานอาหารที่บ้านของสามีภรรยาคู่เมื่อวานที่พาพวกเราไปพบคุณลุง Kambada ทั้งคู่ต้อนรับพวกเราด้วยอาหารที่พิเศษสุดๆเป็นเนื้อแพะบาร์บีคิวครับ ปรกติบาร์บีคิวที่พวกเราทานกันจะเอาเนื้อมาอย่างบนตะแกรงกันใช่ไหมครับแต่ที่นี่จะเอาเนื้อมาอย่างบนก้อนหินครับ วิธีการทำคือ เผาไฟในเตาให้หินเกิดความร้อน จากนั้นก็นำเนื้อซี่โครงแพะที่หมักไว้แล้วเอามาวางลงบนหินแล้วเอาฝาปิดอบไว้ ทิ้งไว้ระยะเวลาหนึ่งแล้วพลิกอีกด้านและอบทิ้งไว้จนสุกทั่ว รสชาติที่ผมทานนั้นอร่าอยมากๆ เนื้อนุ๊มนุ่ม รสชาติถึงเครื่องเทศที่หมัก แม้จะมีกลิ่นคาวแพะติดมาหน่อยก็ตาม คนมองโกเลียจะมีเอกลักษณ์ในการทานบาร์บีคิวซี่โครงแพะคือ ใช้มีดล่อนเนื้อแพะตามซี่โครงเข้าหาตัว เมื่อเนื้อที่ล่อนหลุดแล้วก็จะใช้นิ้วโป้งกดเนื้อนั้นไว้กับมีดแล้วมอั้มเข้าปากพร้อมมีดเลย เห็นแล้วก็เสียวไม่กลัวมีดแทงปากกันเลยนะเนี่ย
เนื้อแพะบาร์บีคิวหอมอร่อย
บ้านเรือนในมองโกเลียจะไม่มีท่อน้ำประปาอ่างล้างมือจึงเป็นอย่างที่เห็นครับ
หลังจากอิ่มอร่อยเรียบร้อยก็ถึงเวลาเดินทางกลับเมืองอูลาบาร์เตอร์กันแล้ว ซึ่งพวกผมต้องกลับเส้นทางเดิมที่เป็นทางวิบากแรลลี่นั่นแหละครับ ขากลับแรลลี่ครั้งนี้พวกผมก็จะได้อีกอารมย์หนึ่งเลยเพราะ พวกเราวิ่งกันบนเขาและไม่มีแสงไฟใดๆเลยนอกจากไฟหน้ารถกับแสงจันทร์ ดีมากเลยครับเพราะได้เห็นอีกบรรยากาศหนึ่งของท้องฟ้าและภูเขาในเวลากลางคืนเป็นความสวยไปอีกแบบที่หาดูได้ยากเหมือนกัน
แวะถ่ายรูประหว่างทางก่อนกลับอูลาร์บาตอร์
สำหรับวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันสุดท้ายของพวกผมก็ไม่มีอะไรจะเขียนแล้วเพราะคุณคิมเพียงแต่พาพวกเราไปทานข้าวและชมพิพิธภัณธ์แห่งชาติ ซึ่งเก็บรวบรวมโบราณวัตถุต่างๆในยุคศตวรรษที่ 15-17 ซึ่งรายละเอียดผมขอข้ามล่ะกันครับเพราะผมไม่มีข้อมูลพอจะมาบอกเล่ากันได้ จึงขอจบตอนสุดท้ายสองเงาในมองโกเลียแบบด้วนๆเลยนะครับ
อย่างไรก็แล้วแต่ผมขอขอบคุณทุกท่านที่อ่านและติดตาม ผมหวังว่าท่านผู้อ่านจะได้รับความบันเทิงและเกร็ดความรู้เกี่ยวกับประเทศมองโกเลียมากขึ้น เนื่องจากผมไม่มีประสบการณ์ด้านงานเขียนเลยแต่ทำเพราะอยากลองทำ ดังนั้นหากมีสิ่งใดที่ไม่เหมาะไม่ควรหรือเป็นงานเขียนไม่ประทับใจท่านผู้อ่าน ผมยินดีรับคำติชมเพื่อเป็นประสบการณ์ในการเขียนต่อไป^^
"บ๊ายบายมองโกเลียขอบคุณที่ติดตามนะคร้าบ" โดยหนอนด้น